บทที่
7
สถาบันการเงิน และการคลังรัฐบาล ในชีวิตประจำวัน
1. เงินออมกับการออม
เงินออม (Savings) ในทางเศรษฐศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่เราไม่ได้ใช้ให้หมดไปกับการบริโภค เงินที่เก็บออมไว้สามารถนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตผลสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจ เช่น นาย ก ขายสินค้าได้กำไร 30,000 บาท และจากรายได้จำนวนนี้เข้าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคไปเสีย 25,000 บาท ที่เหลืออีก 5,000 บาท เป็นเงินที่นาย ก เก็บออมไว้ ทำนองเดียวกัน สมมุติว่าในปีที่ล่วงมาแล้ว ทุกคนในประเทศไทยช่วยกันทำมาหากินมีรายได้ที่เราเรียกว่า รายได้ประชาชาติ ทั้งสิ้น 1,320,000 ล้านบาท และใช้จ่ายเพื่อการบริโภคไปเสีย 1,070,000 ล้านบาท ที่เหลือ 250,000 ล้านบาท ก็จะเป็นเงินออมของประเทศไทย ที่สามารถนำไปลงทุนในการผลิตสินค้าและบริการให้คนในประเทศอยู่ดีกินดีได้มากขึ้น นักเรียนจะสังเกตเห็นได้ว่าเราจะเก็บออมได้มากขึ้น เมื่อขยันขันแข็งทำงานให้มีรายได้สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็ควรใช้จ่ายเพื่อการบริโภคแต่เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้สามารถเก็บออมได้มากขึ้น
การออมในทางเศรษฐศาสตร์ เป็นการออมผ่านสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น นำไปฝากธนาคารพาณิชย์ นำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น การออมในลักษณะนี้นอกจากผู้ออมจะได้รับความปลอดภัยและมีผลประโยชน์งอกเงยแล้ว ยังเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจส่วนรวมอีกด้วย เพราะจะเป็นช่องทางให้สถาบันการเงินสามารถระดมเงินฝากเหล่านี้ไปให้ผู้ประกอบการกู้ยืมไปลงทุนขยายการผลิต และมีการลงทุนมากขึ้น มีการใช้ปัจจัยการผลิตมากขึ้น อันจะเป็นแนวทางทำให้รายได้ประชาชาติสูงขึ้นได้ในที่สุด
เมื่อสมาชิกในครัวเรือนขยันขันแข็งสามารถหารายได้เพิ่มขึ้น และจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง ครัวเรือนจะมีเงินเหลือพอที่จะเก็บออมไว้เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครัวเรือน และเตรียมไว้ใช้จ่ายเมื่อยามฉุกเฉิน หรือเพื่อการศึกษาของบุตรหลานในอนาคต ถ้านักเรียนในฐานะสมาชิกของครัวเรือนรู้จักใช้เงินให้ถูกต้อง จะทำให้สามารถเก็บออมไว้ได้คราวละเล็กน้อย จนกระทั่งมีเงินมากพอที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ต้องการได้
1.1 วัตถุประสงค์ของการออม ตามวัฏจักรของครัวเรือน เริ่มตั้งแต่หนุ่มสาวแต่งงาน เลี้ยงดูบุตรหลานจนเติบโต จนกระทั่งแยกตัวออกไปทำงานและแต่งงานเริ่มชีวิตครัวเรือนใหม่นั้น ครัวเรือนมีความต้องการเงินก้อนที่เก็บออมไว้แตกต่างกัน ครัวเรือนที่รอบคอบมองการณ์ไกล ควรจะเก็บออมเพื่อวัตถุประสงค์ ดังนี้
(1) การออมเพื่อประโยชน์ระยะสั้น ในระยะสั้นอาจมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินเพื่อรักษาพยาบาล สมาชิกในครัวเรือน ให้การศึกษาแก่บุตรหลาน จัดหาที่อยู่อาศัย ยานพาหนะสำหรับครัวเรือน ตลอดจนการพักผ่อนประจำปี จึงควรเก็บออมรายได้ไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้จ่ายในระยะสั้น
(2) การออมเพื่อประโยชน์ระยะยาว ในระยะยาวครัวเรือนจะต้องมีแผนการออมเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อการศึกษาในระดับสูงของบุตรธิดา เพื่อใช้จ่ายเมื่อต้องออกจากงาน เพื่อการลงทุนไว้เก็บดอกผลดำรงชีวิตเมื่อยามชราให้เป็นปกติสุข และประกันชีวิตเพื่อสมาชิกในครัวเรือน
เงินออม (Savings) ในทางเศรษฐศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่เราไม่ได้ใช้ให้หมดไปกับการบริโภค เงินที่เก็บออมไว้สามารถนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตผลสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจ เช่น นาย ก ขายสินค้าได้กำไร 30,000 บาท และจากรายได้จำนวนนี้เข้าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคไปเสีย 25,000 บาท ที่เหลืออีก 5,000 บาท เป็นเงินที่นาย ก เก็บออมไว้ ทำนองเดียวกัน สมมุติว่าในปีที่ล่วงมาแล้ว ทุกคนในประเทศไทยช่วยกันทำมาหากินมีรายได้ที่เราเรียกว่า รายได้ประชาชาติ ทั้งสิ้น 1,320,000 ล้านบาท และใช้จ่ายเพื่อการบริโภคไปเสีย 1,070,000 ล้านบาท ที่เหลือ 250,000 ล้านบาท ก็จะเป็นเงินออมของประเทศไทย ที่สามารถนำไปลงทุนในการผลิตสินค้าและบริการให้คนในประเทศอยู่ดีกินดีได้มากขึ้น นักเรียนจะสังเกตเห็นได้ว่าเราจะเก็บออมได้มากขึ้น เมื่อขยันขันแข็งทำงานให้มีรายได้สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็ควรใช้จ่ายเพื่อการบริโภคแต่เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้สามารถเก็บออมได้มากขึ้น
การออมในทางเศรษฐศาสตร์ เป็นการออมผ่านสถาบันการเงินต่าง ๆ เช่น นำไปฝากธนาคารพาณิชย์ นำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น การออมในลักษณะนี้นอกจากผู้ออมจะได้รับความปลอดภัยและมีผลประโยชน์งอกเงยแล้ว ยังเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจส่วนรวมอีกด้วย เพราะจะเป็นช่องทางให้สถาบันการเงินสามารถระดมเงินฝากเหล่านี้ไปให้ผู้ประกอบการกู้ยืมไปลงทุนขยายการผลิต และมีการลงทุนมากขึ้น มีการใช้ปัจจัยการผลิตมากขึ้น อันจะเป็นแนวทางทำให้รายได้ประชาชาติสูงขึ้นได้ในที่สุด
เมื่อสมาชิกในครัวเรือนขยันขันแข็งสามารถหารายได้เพิ่มขึ้น และจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง ครัวเรือนจะมีเงินเหลือพอที่จะเก็บออมไว้เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครัวเรือน และเตรียมไว้ใช้จ่ายเมื่อยามฉุกเฉิน หรือเพื่อการศึกษาของบุตรหลานในอนาคต ถ้านักเรียนในฐานะสมาชิกของครัวเรือนรู้จักใช้เงินให้ถูกต้อง จะทำให้สามารถเก็บออมไว้ได้คราวละเล็กน้อย จนกระทั่งมีเงินมากพอที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ต้องการได้
1.1 วัตถุประสงค์ของการออม ตามวัฏจักรของครัวเรือน เริ่มตั้งแต่หนุ่มสาวแต่งงาน เลี้ยงดูบุตรหลานจนเติบโต จนกระทั่งแยกตัวออกไปทำงานและแต่งงานเริ่มชีวิตครัวเรือนใหม่นั้น ครัวเรือนมีความต้องการเงินก้อนที่เก็บออมไว้แตกต่างกัน ครัวเรือนที่รอบคอบมองการณ์ไกล ควรจะเก็บออมเพื่อวัตถุประสงค์ ดังนี้
(1) การออมเพื่อประโยชน์ระยะสั้น ในระยะสั้นอาจมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินเพื่อรักษาพยาบาล สมาชิกในครัวเรือน ให้การศึกษาแก่บุตรหลาน จัดหาที่อยู่อาศัย ยานพาหนะสำหรับครัวเรือน ตลอดจนการพักผ่อนประจำปี จึงควรเก็บออมรายได้ไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้จ่ายในระยะสั้น
(2) การออมเพื่อประโยชน์ระยะยาว ในระยะยาวครัวเรือนจะต้องมีแผนการออมเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อการศึกษาในระดับสูงของบุตรธิดา เพื่อใช้จ่ายเมื่อต้องออกจากงาน เพื่อการลงทุนไว้เก็บดอกผลดำรงชีวิตเมื่อยามชราให้เป็นปกติสุข และประกันชีวิตเพื่อสมาชิกในครัวเรือน
1.2 แนวทางการประหยัดเพื่อการออม
ผู้บริโภคมักเชื่อว่าตนเองไม่สามารถจะเก็บออมได้หากเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำ และถ้าเป็นผู้ที่มีรสนิยมสูง ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยการเก็บออมยิ่งกระทำได้ยาก อันที่จริงความสามารถในการเก็บออมขึ้นอยู่กับการฝึกฝนจนเป็นนิสัยมากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับรายได้ นักเรียนคงจะเคยสังเกตเห็นเพื่อน ๆ บางคน แม้เขาจะมีรายได้น้อยแต่ก็สามารถเก็บออมได้เป็นประจำสม่ำเสมอ ความสามารถในการเก็บออมจึงขึ้นอยู่กับความพยายาม และความตั้งใจของผู้บริโภคมากกว่า ถ้าหากตั้งใจและฝึกฝนจนเป็นนิสัยการออมย่อมจะเกิดขึ้นได้ หลักการออมมีดังต่อไปนี้
(1) ใช้จ่ายอย่างประหยัด การใช้จ่ายอย่างประหยัด หมายถึง การทำสิ่งเล็กน้อยที่สุดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ( Making the most of the least) เมื่อใช้จ่ายได้สิ่งของอย่างใดมาจะต้องใช้ให้คุ้มค่ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมักจะมีนโยบายให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างประหยัดและออมทรัพย์ไว้ใช้ยามจำเป็น ทั้งนี้ก็เพราะตามปกติรายได้ของสมาชิกในครัวเรือนนั้นมีอยู่จำกัด ถ้าผู้บริโภคไม่ใช้จ่ายอย่างประหยัดแล้ว แม้จะมีรายได้สูงสักเท่าใด ก็ย่อมจะไม่เป็นการเพียงพอ และไม่สามารถจะเก็บออมไว้ได้ ซ้ำยังจะต้องกลายเป็นผู้มีหนี้สินเป็ภาระมากมาย
ปัจจุบันรายจ่ายของครัวเรือนในประเทศไทยสูงขึ้นมากในแต่ละปี เพราะราคาสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ครัวเรือนไทยจึงต้องจ่ายเงินส่วนใหญ่ไปเพื่อการอุปโภคบริโภค ทำให้ความสามารถในการออมลดลง เมื่อรายได้ของผู้บริโภคไม่ได้สูงขึ้นในขณะที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น ผู้บริโภคจึงควรหาทางใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อสามารถเก็บออมเงินได้ในส่วนหนึ่ง
(2) การออมเป็นหน้าที่ของสมาชิกในครัวเรือน สมาชิกในครัวเรือนควรได้รับการฝึกฝนอบรมให้รู้จักประหยัดกิน ประหยัดใช้
(3) นึกถึงการออมทุกคราวที่ใช้จ่าย ครัวเรือนที่ดีควรวางแผนการออมเป็นประจำสม่ำเสมอ เมื่อสมาชิกในครัวเรือนจะต้องใช้จ่ายเงินออกไปควรเน้นให้คำนึงถึงการใช้จ่ายอย่างประหยัด ทุกคราวที่จะจ่ายเงินออกไป ควรกันเผื่อเงินออมไว้จำนวนหนึ่งเสมอ หัวหน้าครัวเรือนอาจใช้วิธีบังคับการออมทางอ้อม เช่น ให้นายจ้างจ่ายเงินเดือนผ่านเข้าบัญชีของผู้บริโภคเพื่อควบคุมการใช้จ่าย โดยการเบิกถอนแต่ละคราวด้วยความระมัดระวัง ซึ่งจะเป็นเครื่องช่วยให้มีการออมได้ดีกว่าการเก็บออมเงินสดไว้กับตัว จะใช้จ่ายไปอย่างง่ายดายปราศจากการไตร่ตรองยั้งคิด
2. การใช้บริการสถาบันการเงินเพื่อการออม
เมื่อครัวเรือนมีเงินพอที่จะเก็บออมก็ควรจะตัดสินใจว่าจะนำออกเงินไปหาผลประโยชน์จากแหล่งใด หรืออาจให้กู้ยืมต่อไป ถ้าเราเก็บเงินสดไว้กับบ้านนอกจากจะไม่ได้รับประโยชน์งอกเงยในแง่ของเศรษฐกิจส่วนรวมแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายจากโจรผู้ร้ายอีกด้วย และการที่เราเก็บเงินสดไว้กับตัวย่อมทำให้เงินหายไปจากวงจร ทำให้ภาคเอกชนขาดแคลนเงินที่จะหมุนเวียนซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
การเก็บออมทางสถาบันการเงินจะได้ผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เมื่อผู้ออมรู้จักเลือกบริการจากสถาบันการเงิน โดยคำนึงถึงหลักสำคัญ 3 ประการ คือ
(1) เงินออมนั้นมีความปลอดภัย มีการเสี่ยงที่จะสูญเสียน้อย เช่น ฝากเงินกับธนาคารออมสิน แม้จะได้ดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็มีหลักประกันมั่นคง และควรกระจายการลงทุนไว้หลาย ๆ แห่ง เพื่อให้ปลอดภัยจากการสูญเสียได้มากที่สุด
(2) มีผลประโยชน์ตอบแทนจากการออมพอสมควร ถ้าเรานำเงินออมไปให้เพื่อนบ้านกู้ยืมโดยสัญญาว่าจะให้ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 36 ก็จะเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยมากกว่าการฝากเงินกับธนาคาร ซึ่งแม้จะให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า แต่ก็มีความมั่นคงปลอดภัยสูงกว่า
(3) วิธีการเก็บออมนั้นควรจะมีสภาพคล่อง (Liquidity) สูง คือ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย เมื่อเราต้องการจะใช้ เพราะในอนาคตเราไม่แน่ใจว่าจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินเงินมาเมื่อใด อย่างเช่น ถ้าเราฝากเงินเผื่อเรียกไว้ 300,000 บาท เกิดความจำเป็นต้องใช้เงินเมื่อใดก็สามารถไปถอนเอามาใช้ได้ทันที อย่างนี้เรียกว่ามีสภาพคล่องสูง แต่ถ้านำเงิน 300,000 บาท นี้ไปซื้อตั๋วเงินไว้ หากต้องการใช้เงินอาจนำไปใช้ไม่ได้ทันที เป็นต้น
เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจนำเงินออมไปลงทุนก็ต้องพบกับการเสี่ยง ( risk ) ตามปกติการลงทุนที่มีการเสี่ยงสูง ถ้าทำสำเร็จก็มักจะมีผลตอบแทนสูง และถ้ามีการเสี่ยงน้อยก็มักจะได้รับผลตอบแทนต่ำ เช่นถ้านำเงินออมไปฝากประจำในธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีการเสี่ยงน้อยจะได้ดอกเบี้ยในอัตราค่อนข้างต่ำและตายตัว แต่ถ้านำเงินออมไปเล่นแชร์ซึ่งมีการเสี่ยงสูง แต่ก็อาจได้ผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยในอัตราสูง เป็นต้น
2.1 การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงินที่สำคัญเพราะเป็นแหล่งที่ช่วยให้เกิดการระดมเงินออมของประชาชนไปสู่ธุรกิจได้อย่างมากมาย เป็นสถาบันการเงินในระบบอยู่ภายใต้ของเขตที่กฎหมายกำหนด และรัฐบาลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะคอยควบคุมการปฎิบัติงานของธนาคาร เพื่อความปลอดภัยของเงินออมที่ประชาชนฝากไว้กับธนาคาร การนำเงินไปฝากธนาคารทำได้หลายประเภท คือ
(1) เงินฝากกระแสรายวัน เป็นเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนทันทีเมื่อทวงถาม ธนาคารพาณิชย์อาจยอมให้ผู้ฝากเงินกระแสรายวัน เบิกเงินเกินบัญชี ( overdraft ) เรียกย่อว่า โอ.ดี. (O.D.) ได้ ผู้ฝากเงินกระแสรายวันจึงอาจเป็นเจ้าหนี้ธนาคารก็ได้ หรือบางทีก็เป็นลูกหนี้ธนาคารเสียเองก็ได้ ถ้าหากธนาคารยอมให้ใช้ โอ.ดี.
เงินฝากประเภทนี้ปกติจะไม่มีดอกเบี้ยให้ นักธุรกิจที่ต้องการจะใช้เช็ค หรือใช้บริการเงินกู้ประเภทเบิกเกินบัญชี จะต้องเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันขั้นต่ำต้องได้ไม่น้อยกว่าตามที่ธนาคารกำหนด เมื่อเราเปิดบัญชีนี้แล้ว เราก็ซื้อสมุดเช็คจากธนาคาร พร้อมทั้งชำระค่าอากรแสตมป์ตามอัตราที่ทางการกำหนด การจะถอนเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันทำได้โดยการเขียนเช็คสั่งจ่ายเงิน จะจ่ายเงินใครก็ระบุชื่อ ระบุวันที่ และลงรายมือชื่อบนเช็คให้เรียบร้อย
(2) เงินฝากออมทรัพย์ หรือ เงินฝากสะสมทรัพย์ คือ เงินฝากที่เมื่อเปิดบัญชีแล้วจะฝากครั้งละเท่าไรก็ได้ และจะถอนคืนเมื่อไรก็ได้ โดยธนาคารจะคิดดอกเบื้ยให้ตลอดเวลาที่เงินยังอยู่ในบัญชี เป็นเงินฝากระยะสั้น ๆ เช่นเดียวกับเงินฝากกระแสรายวัน แต่โดยทั่วไปผู้ฝากเงินออมทรัพย์มักจะฝากเงินไว้ในบัญชีนานกว่าบัญชีกระแสรายวัน เพราะกรฝากออมทรัพย์มีลักษณะเป็นเงินออม ไม่ได้เป็นเงินสำหรับใช้หมุนเวียนทางการค้า
การฝากเงินประเภทนี้ธนาคารบางแห่งกำหนดว่า ต้องมีเงินไปเปิดบัญชีครั้งแรก เจ้าหน้าที่ของธนาคารจะให้เราลงลายมือชื่อในบัตร เพื่อธนาคารจะเก็บไว้เป็นตัวอย่าง และเมื่อเราไปถอนเงินเจ้าหน้าที่จะได้เอาตัวอย่างลายมือชื่อของเรามาเปรียบเทียบกับลายมือชื่อในใบถอนเงินว่าเหมือนกันหรือไม่ ดังนั้นการลงลายมือชื่อทุกครั้งควรลงลายมือชื่อให้เหมือนกับตัวอย่างที่ธนาคารเก็บไว้ในครั้งแรกที่ไปเปิดบัญชี การฝากเงินครั้งแรก เรียกว่า การเปิดบัญชี ธนาคารจะให้สมุดคู่ฝากมา ในสมุดจะบันทึกรายละเอียดชัดเจนว่า ฝากเมื่อไร จำนวนเงินเท่าไร ต่อไปเมื่อมาติดต่อกับธนาคารจะต้องนำสมุดคู่ฝากมาด้วย การฝากเงิน เจ้าหน้าที่ธนาคารจะออกใบรับเงินให้ เมื่อฝากหรือถอนเงินทุกครั้งนักเรียนควรดูยอดเงินในสมุดคู่ฝากว่าฝากเงินเมื่อไร จำนวนเงินเท่าไร ต่อไปเมื่อมาติดต่อกับธนาคารจะต้องนำสมุดคู่ฝากมาด้วย การฝากเงินเจ้าหน้าที่จะออกใบรับเงินให้ เมื่อฝากหรือถอนเงินทุกครั้งนักเรียนควรดูยอดเงินในสมุดคู่ฝากว่าเพิ่มหรือลดลงถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ ปัจจุบันธนาคารมีบริการถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ด้วย
(3) เงินฝากประจำ เป็นเงินฝากที่ต้องตกลงกำหนดเวลาฝากที่แน่นอนไว้กับธนาคาร ผู้ฝากจะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ตกลงกันก็ต่อเมื่อฝากไว้ครบตามกำหนดมาแล้วเท่านั้น การฝากเงินประเภทนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า เงินฝากชนิดจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลา ( time deposit ) และผู้ฝากจะต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับด้วย
การฝากประเภทนี้หากฝากเงินไม่ครบ 3 เดือน จะไม่ได้ดอกเบี้ย ดังนั้น ถ้านักเรียนมีความจำเป็นต้องใช้เงินอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้า ก็ไม่ควรฝากประเภทนี้ ควรฝากประเภทออมทรัพย์ เพราะธนาคารจะคิดดอกเบี้ยให้ทุกวัน การนำเงินไปฝากประจำครั้งแรก บางธนาคารกำหนดว่าจะต้องมีเงินฝากเปิดบัญชี 1,000 บาทส่วนครั้งต่ออาจฝากครั้งละ 100-200 บาทก็ได้ เมื่อเปิดบัญชีธนาคารจะให้สมุดเงินฝากแก่เราเล่มนึง เช่นเดียวกับการฝากเงินประเภทอื่น ส่วนระเบียบการต่าง ๆ ก็คล้ายกับการฝากเงินออมทรัพย์ เช่น การฝากเงินครั้งแรกต้องลงลายมือชื่อในบัตรเป็นตัวอย่าง การย้ายที่อยู่ต้องแจ้งให้ธนาคารทราบทุกครั้ง
(4) เงินฝากสินมัธยัสถ์ การฝากเงินประเภทนี้เป็นการฝากเงินโดยสะสมไว้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น ต้องการจะเก็บออมไว้เป็นค่าเล่าเรียนบุตรหลาน จะเก็บออมไว้สร้างบ้าน จะเก็บออมไว้ซื้อรถไถนา เป็นต้น และผู้ฝากแน่ใจว่าจะสามารถกันเงินส่วนหนึ่งไม่ว่ะเป็น 100 บาท 500 บาท หรือ 1000 บาท ก็ตามเข้าธนาคารได้สม่ำเสมอทุกเดือนก็ควรเปิดบัญชีเงินฝากประเภทสินมัธยัสถ์กับธนาคาร เช่นวงเงิน 500 บาท ถ้าเราเปิดบัญชีวันแรก วันที่ 1 ของเดือน เดือนต่อ ๆไป จะต้องนำเงิน 500 บาท มาฝากธนาคารภายใน วันที่ 1 ถ้าเราของเปิดบัญชี 3 ปี หากสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้ตลอดเวลา 3 ปี นั้น นอกจากธนาคารจะให้ดอกเบี้ยทบต้นแล้วยังให้เงินรางวัลอีกด้วยจากการที่ทำได้ตามข้อตกลง เงินฝากประเภทนี้ธนาคารเรียกชื่อต่าง ๆ กัน เช่น เงินฝากมัธยัสถ์ เงินฝากสินมัธยะ เงินฝากสินทวี เงินฝากเพื่ออนาคต เป็นต้น
2.2 การออมผ่านสถาบันการเงินอื่น นอกจากการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ เราอาจเก็บออมผ่านสถาบันการเงินอื่นโดยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
(1) การฝากเงินกับบริษัทเงินทุน สถาบันการเงินที่ประกอบการธุรกิจประเภทเงินทุน ได้แก่ บริษัทเงินทุนเป็นสถาบันการเงินที่จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด บริษัทเงินทุนแตกต่างกับ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ กล่าวคือ บริษัทเงินทุนจัดหาทุนเพื่อบุคคลอื่น ซึ่งกระทำโดยการกู้ยืมเงินจากประชาชนทั่วไป วิธีการกู้ยืมที่กฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติ บริษัทเงินทุนต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ที่นำเงินมาฝากเป็นหลักฐานในการกู้ยืม ส่วนบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นสถาบันการเงินที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการให้กู้ยืม โดยวิธีรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ (บ้านหรือที่ดิน) หรือรับซื้อฝากอสังหาริมทรัพย์ตามสัญญาขายฝาก การที่บริษัทจะสามารถดำเนินการเช่นนี้ได้ แสดงว่าบริษัทจะต้องมีเงินทุนเพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงต้องระดมเงินทุนด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เสนอขายต่อประชาชนทั่วเหมือนบริษัทเงินทุนทั้งหลาย แต่ระยะเวลาของตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเครดิตฟองซิเอร์มีอายุยาวนานกว่า 5 ปีขึ้นขึ้นไป แทนที่จะเป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน หรือ 1 ปี เหมือนกับบริษัทเงินทุน ทั้งนี้เพราะเงินกู้ด้วยวิธีรับจำนองหรือซื้อฝากอสังหาริมทรัพย์เป็นเงินกู้ระยะยาว
(2) การซื้อพันธบัตรรัฐบาล เมื่อรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจต้องการกู้เงินไปใช้จ่ายตามโครงการบางโครงการ เช่น สร้างถนน สร้างเขื่อน ขยายการผลิตไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เหล่านี้ รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจจะนำพันธบัตรออกขายให้แก่สถาบันการเงินหรือประชาชนทั่วไป โดยให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ซื้อพันธบัตรทุกปีจนกว่าจะครบกำหนดไถ่ถอน เนื่องจากรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้กู้ และมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน พันธบัตรรัฐบาลจึงมีความเสี่ยงน้อยมากเมื่อเที่ยบกับหลักทรัพย์ชนิดอื่น ๆ และผู้ถือพันธบัตรรัฐบาล จะขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรรัฐบาลที่ถืออยู่ได้โดยการลดดอกเบี้ยลงตามส่วน นักเรียนจะเห็นได้ว่าการลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลแทนการเก็บเงินไว้ในรูปเงินสด เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย และผู้ออมก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราที่แน่นอน
(3) การซื้อขายประกันชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นสัญญาระบุเงื่อนไขที่บริษัทผู้รับประกันตกลงจะให้ความคุ้มครองผู้เอาประกัน โดยผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันให้ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ตามปกติบุคคลทั่วไปจะต้องดำเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอดของตน และสมาชิกในครัวเรือน กล่าวคือ ทุกคนจะต้องมีสุขภาพดี การศึกษาดี มีรายได้ดี มีทรัพย์สินเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ และเป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลาน จึงต้องจำกัดการเสี่ยงภัยที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนและของสมาชิกในครัวเรือน ส่วนผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องลงทุนด้วยกำลังกายและกำลังทรัพย์ จึงต้องจำกัดการเสี่ยงภัยที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่การลงทุนของตน เพราะถ้าเกิดภัยพิบัติกิจการที่ดำเนินการอยู่ก็อาจะต้องสะดุดหยุดลง และต้องประสบกับความเสียหายล้มละลาย เราจึงต้องหาทางจำกัดการเสี่ยงภัยโดยวิธีการต่าง ๆ และวิธีการโอนความรับผิดชอบให้ผู้อื่นก็คือ การประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัย
วิธีการการเสี่ยงภัย เนื่องจากเราไม่ต้องการให้มีภัยเกิดขึ้น ครัวเรือนจึงต้องหาทางจำกัดการเสี่ยงภัยเสียก่อนที่จะเกิดขึ้น โดยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
(1) จำกัดการเสี่ยงภัยด้วยตนเอง เป็นวิธีการจำกัดการเสี่ยงภัยป้องกันการเสียหายโดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่น ซึ่งอาจทำได้ดังนี้
1.1 มีความระมัดระวัง ครัวเรือนอาจเป็นการป้องกันภัยไม่ใช้เกิดแก่สมาชิกในครัวเรือน โดยหมั่นตรวจตราความเรียบร้อยของสายไฟฟ้า ถังแก๊ส ฯลฯ ส่วนนักธุรกิจก็อาจหาวิธีป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นกับโรงงาน หรือสำนักงานของตนเองทั้งทรัพย์สิน และพนักงานลูกจ้าง
1.2 จัดหาเครื่องมือป้องกันภัย ครัวเรือน สำนักงาน และโรงงานผลิต สามารถจัดซื้อเครื่องมือป้องกันภัยตระเตรียมล่วงหน้า เช่น เครื่องดับเพลิง เครื่องสัญญาณแจ้งภัย เป็นต้น
1.3 สะสมเงินออม เพื่อเตรียมไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายเมื่อมีการเสียหายเกิดขึ้น แต่การสะสมเงินอาจทำได้เฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่ารายจ่ายเท่านั้น ส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ แม้จะมีเงินเหลือเก็บออมไว้ได้บ้าง ก็คงมีจำนวนไม่มากพอท่ะนำไปชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้
(2) จำกัดการเสี่ยงภัยโดยโอนความรับผิดชอบให้ผู้อื่น เนื่องจากการจำกัดการเสี่ยงภัยโดยตนเองยังมีขีดจำกัดอยู่มากจึงนิยมจำกัดการเสี่ยงภัยของตนเองและครัวเรือน ด้วยการมอบให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบใช้ค่าเสียหายเมื่อตาย ชราภาพ พิการ ประสบอุบัติเหตุ หรือมีภัยเกิดแก่ทรัพย์สิน โดยเลือกประเภทการประกันภัยให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถในการส่งเบี้ยประกัน
ความหมายของการประกันชีวิต โดยทั้วไปผู้ทำประกันชีวิตต้องออมทรัพย์บางส่วนของตนส่งบริษัทผู้รับประกันชีวิตเพื่อเป็นหลักประกันในอนาคต เมื่อชราภาพหรือพิการหรือเสียชีวิต จะได้รับเงินจำนวนหนึ่งไว้เลี้ยงตนหรือสมาชิกในครัวเรือน ดังนั้นเราจึงอาจให้ความหมายของการประกันชีวิตไว้ดังนี้
การประกันชีวิต หมายถึง การประกันลมหายใจ คือ เมื่อทำประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกันชีวิตแล้วเกิดตายไป คือไม่หายใจ ก็ให้ทางบริษัทประกันชีวิตจ่ายเงินให้แก่ภรรยาหรือบุตรของคนที่ทำประกันชีวิต ซึ่งเรียกว่า ผู้เอาประกัน ( ผู้ที่ตกลงทำประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกันชีวิต)
การประกันชีวิต หมายถึง การทดแทนการสูญเสียรายได้ ตัวอย่างเช่น ครอบครัวหนึ่งสามีทำประกันชีวิตไว้ โดยใส่ชื่อภรรยาและบุตรผู้รับประโยชน์ (จะได้รับเงินจากบริษัทประกันชีวิต เมื่อผู้เอาประกันถึงแก่ความตาย) เมื่อสามีตายทำให้ครอบครัวขาดรายได้ บริษัทประกันชีวิตก็จ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ ถือว่าเป็นการชดเชยรายได้แก่ครอบครัวนี้
การประกันชีวิต หมายถึง แผนการที่คนกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันแบ่งเบาความเดือนร้อนด้านการเงินที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของบุคคลในกลุ่ม เนื่องมาจากความตายของหัวหน้าครอบครัว
ประโยชน์ของการประกันชีวิต เนื่องจากการประกันชีวิตเป็นวิธีการี่ดีในการสร้างความมั่นคงให้แก้สมาชิกในครัวเรือน เป็นการเก็บออมที่ได้รับผลประโยชน์งอกเงย การประกันชีวิตจึงก่อประโยชน์ทั้งต่อครัวเรือน เศรษฐกิจ และ สังคมของประเทศชาติ คือ
(1) ประโยชน์ต่อครัวเรือน ถ้าบังเอิญหัวหน้าครัวเรือนเคราะห์ร้ายถึงแก่ความตายก่อนเวลาอันสมควร สมาชิกในครัวเรือนต้องประสบความลำบาก ดังนั้นหัวหน้าครัวเรือนที่รักและเป็นห่วงสมาชิกในครัวเรือนของตน จึงประกันชีวิตไว้ ถ้ามีอันเป็นไปก็ให้บริษัทประกันชีวิตชดใช้เงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งทำให้ภรรยาและบุตรสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาญาติพี่น้อง
(2) ประโยชน์ต่อธุรกิจ เศรษฐกิจของประเทศจะมีความมั่นคงหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความมั่นคงของธุรกิจต่าง ๆ ที่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าประธานหรือผู้จัดการงานธุรกิจเป็นคนมีความชำนาญสูง ธุรกิจก็งอกงาม ถ้าผู้จัดการเกิดเจ็บ ชรา และตาย ผลก็คืออาจทำให้ธุรกิจต้องหยุดกิจการ ถ้าต้องการป้องกันไว้เสียก่อนก็ควรมีการประกันชีวิตไว้ เพื่อทำให้ผู้สืบทอดธุรกิจ หรือผู้ที่มีหุ้นส่วนในธุรกิจสามารถมีทุนรอนในการดำเนินธุรกิจนั้นต่อไปได้ และจะเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย การประกันชีวิตในลักษณะนี้ เรียกว่า การประกันธุรกิจ
การประกันชีวิตส่งผลให้เกิดการออมทรัพย์และเบี้ยประกัน (หมายถึง จำนวนเงินที่ผู้เอาประกันจ่ายให้กับบริษัทประกันชีวิต) ที่บริษัทประกันชีวิตเก็บมาช่วยออมไว้นั้น นำไปลงทุนให้เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจ และการพัฒนาบ้านเมือง จึงเห็นได้ว่าไม่มีธุรกิจใดจะให้ประโยชน์แก่ส่วนรวมได้มากเท่ากับการประกันชีวิต ให้ทั้งการคุ้มครองและช่วยสร้างหลักฐานของประชาชน
(3) ประโยชน์ต่อสังคม การประกันชีวิตมีส่วนช่วยในการสะสมทุนเพื่อพัฒนาสังคม กล่าวคือ เงินเบี้ยประกันที่เราจ่ายให้แก่บริษัทประกันชีวิต เมื่อนำมารวมกันจะเป็นเงินก้อนใหญ่ สามารถให้เอกชน หรือรัฐบาลกู้ยืมได้ ยิ่งกว่านั้นเบี้ยประกันที่บริษัทได้รับจากเราเป็นเงินที่ฝากระยะยาว เหมาะสมที่จะให้กู้ยืมไปลงทุนได้ ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตนับว่าเป็นสถาบันการเงินที่สำคัญในการช่วยพัฒนาประเทศอีกด้วย
การประกันชีวิตช่วยให้เกิดสันติสุข และความปลอดภัยในสังคม คนเราต้องการมีชีวิตอย่างผาสุกและปลอดภัย ไม่ต้องห่วงกังวลถึงอนาคต การประกันชีวิตเป็นการชดเชยการสูญเสียรายได้อันเนื่องมาจากการเสียชีวิต พิการ ชรา เป็นการประกันการคงอยู่ของรายได้ เพื่อเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต นั่นก็คือ เป็นการประกันความสุขและความมั่นคงปลอดภัยของตนนั่นเอง
ประเภทของการประกันชีวิต การประกันชีวิตอาจทำได้หลายประเภทด้วยกันตามความต้องการของผู้เอาประกัน คือ
(1) การประกันแบบกำหนดเวลา การประกันแบบนี้ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันในระยะเวลาของกรมธรรม์(สัญญาประกันชีวิต) เท่านั้น คือระบุไว้ว่าจะประกัน 1 ปี หรือ 3 ปี หรือ 5 ปี หรือ 10 ปี ถ้าผู้ประกันไม่ตายในระยะเวลาของกรมธรรม์ ผู้เอาประกันจะไม่ได้รับอะไรเลย แม้แต่เบี้ยประกันที่จ่ายแก่บริษัทประกันชีวิตไปแล้ว
(2) การประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เป็นกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้เอาประกัน เมื่อตายบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ทายาท บริษัทจะบอกเลิกสัญญาไม่ได้ การประกันชีวิตแบบตลอดชีพนี้ให้ความคุ้มครองจนตาย หรือมีอายุครบ 100 ปี การชำระเบี้ยประกันก็จะจ่ายให้แก่บริษัทไปเรื่อย ๆ จนผู้เอาประกันมีอายุ 90 ปี เมื่อถึงตอนนี้ทางบริษัทจะยินยอมให้ไม่ต้องชำระต่อไปอีก แม้จะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม ไม่ว่าผู้เอาประกันจะตายเมื่อใด บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินคืนให้ และถ้ามีเงินปันผลเกิดขึ้นก็จะคืนให้ด้วย การประกันชีวิตแบบตลอดชีพนี้ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันตายเท่านั้น ผู้รับเงินคือทายาทของผู้เอาประกัน
(3) การประกันแบบสะสมทรัพย์ เป็นการประกันที่ผู้เอาประกันตายหรือไม่ก็ตาม บริษัทประกันชีวิตจ่ายเงินคืนให้ทั้ง 2 กรณี เช่น นาย ก อายุ 30 ปี ทำการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ทุนประกันชีวิตเป็นเงิน 1,000,000 บาท และจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 30 ปี ปีละ 30,000 บาท สมมุติว่า นาย ก ตาย เมื่ออายุ 50 ปี คือจ่ายดอกเบี้ยประกันไปได้ 20 งวด ทางบริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ 1,000,000 บาท หรือ นาย ก ยังคงมีชีวิตอยู่จนถึง 60 ปี ทางบริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินคืนให้นาย ก 1,000,000 บาท การประกันแบบสะสมทรัพย์นี้เป็นที่นิยมมากกว่าแบบอื่น แม้เบี้ยประกันจะแพงแต่ผู้เอาประกันจะได้รับผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเสียชีวิตไปก่อนครอบกำหนดสัญญา หรือมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญาก็ตาม
(4) การประกันแบบบำนาญ เป็นการประกันที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกัน นับตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันไม่สามารถมีรายได้เป็นของตัวเอง การประกันแบบบำนาญหรือการประกันแบบรายได้ประจำนี้ ไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย เนื่องจากผู้ประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันทั้งก้อน หรือจ่ายเพียงไม่กี่งวดให้ครบเท่าทุนประกัน
นอกจากนี้ยังมีการประกันอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นการประกันสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้บาดเจ็บ พิการ หรือถึงแก่ความตาย และการประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นการประกันแบบคุ้มครองสุขภาพหรือการเจ็บป่วยให้แก่ผู้เอาประกัน คู่สมรส และบุตรของผู้เอาประกันที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี โดยบริษัทผู้รับประกันจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาโรคของผู้เอาประกันและสมาชิกการประกันทั้ง 2 แบบนี้ปกติจะเป็นการประกันระยะสั้น (ปกติ 1 ปี) ถ้ามีการเสียหายเกิดขึ้นภายในระยะเวลาของสัญญา บริษัทผู้รับประกันก็จะชดใช้ความเสียให้ แต่ถ้าความเสียหายไม่เกิดขึ้นบริษัทผู้รับประกันก็จะไม่คืนเบี้ยประกันได้จ่ายไป
โดยสรุป การออมในความหมายแบบใดก็ตามก็คือ เงินรายได้ส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายแล้ว เงินออมนี้จะถูกนำไปลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์เพิ่มเติมในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น บุคคลที่มีการวางแผนที่ดีในการใช้จ่ายรายได้หามาได้นั้นเป็นหนทางอันหนึ่งที่จะทำให้เกิดการออม แต่การออมของบุคคลนั้นจะมีมากหรือน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับอิทธิพลของอัตราดอกเบี้ย ระดับรายได้ของเขา และบริการของสถาบันการเงินต่าง ๆ อย่างเช่น บริการเอทีเอ็ม ที่ลูกค้าธนาคารพาณิชย์นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้น การที่จะตัดสินใจเก็บออมผ่ายสถาบันการเงินใดเราก็ควรจะได้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราผลตอบแทนความปลอดภัยของเงินออม สภาพคล่องของทรัพย์สินที่ลงทุนไว้ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
3. แหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน
ตามปกติครัวเรือนซึ่งเป็นหน่วยเศรษฐกิจ (economic unit) ที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศจะดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการประกอบอาชีพเพื่อหารายได้ เมื่อมีรายได้ เข้ามาสมาชิกในครัวเรือนก็จะใช้จ่าย ดำรงชีพ ที่เหลือก็จะ เก็บออม ไว้หาประโยชน์งอกเงย ถ้าเราสามารถจัดกิจกรรมทั้ง 3 ได้สอดคล้องต้องกัน ชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในครัวเรือนก็จะอยู่ดีกินดี มีอนาคตก้าวหน้า และมีผลให้เศรษฐกิจส่วนรวม ของประเทศเจริญก้าวหน้าไปด้วย นอกจากนี้การประกอบอาชีพให้มีรายได้สูงขึ้น นับว่าเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจทางเศรษฐกิจสำคัญ เนื่องจากความต้องการของคนเราไม่ได้หยุดอยู่ที่การมีอาหารพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มียาสำหรับรักษายามเจ็บป่วย มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มห่อหุ้มร่างกาย หรือมีบ้านพอคุ้มแดดคุ้มฝนเท่านั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ ในปัจจุบันมนุษย์ยังต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันอีกด้วย เราจึงมีความต้องการเพิ่มพูนรายได้ ต้องการแหล่งทุนเพื่อขยายกิจการของเราให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
การประกอบอาชีพ เราอาจจำแนกการประกอบอาชีพของครัวเรือนในประเทศไทยออกได้ดังนี้
(1) อาชีพอิสระ เป็นการประกอบการงานเพื่อรายได้โดยจัดและประกอบด้วยตนเอง หรือ กลุ่ม โดยทั่วไปอาชีพอิสระแบ่งออกตามระดับการใช้ความรู้และความสามารถในการประกอบอาชีพได้ 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 กลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะหรือความรู้ในระดับปริญญา หรือ อนุปริญญา เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ เภสัชกร สถาปนิก วิศวกร ทนายความ ผู้ตรวจบัญชี เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 กลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะหรือความรู้ในระดับที่ต่ำกว่าอนุปริญญา เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างเครื่องยนต์ ช่างวิทยุ ช่างเขียนแบบ ช่างตัดเสื้อ ช่างตัดผม ช่างเสริมสวย ช่างเย็บหนัง เป็นต้น
กลุ่มที่ 3 กลุ่มอาชีพที่ไม่ต้องใช้ทักษะหรือความรู้ในวิชาชีพอย่างหนึ่งใดโดยเฉพาะ เช่น ผู้ประกอบการ ขายของชำ ขายข้าวแกง ขายผลไม้ ขายหนังสือ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ขับรถรับจ้าง หาบเร่แผงลอย เป็นต้น
การประกอบอาชีพอิสระเหล่านี้ เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านการผลิต การขายและการบริการซึ่งผู้ประกอบการอาจเลือกทำเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทำหลายส่วนก็ได้
(2) อาชีพรับจ้างและแรงงาน เป็นการประกอบการงานเพื่อหารายได้โดยรับจ้างหรือใช้แรงงานในสถานประกอบการของนายจ้าง จำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 กลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะหรือความรู้ในวิชาชีพอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ เช่น ช่างเครื่องยนต์ ช่างไฟฟ้า ช่างวิทยุ ช่างตัดเสื้อ ช่างเย็บหนัง ช่างเสริมสวย เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 กลุ่มอาชีพที่ไม่ใช้ทักษะหรือความรู้ในวิชาชีพอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ โดยทั่วไปมักเรียกว่า กลุ่มกรรมกร หรือผู้ใช้แรงงาน เช่น อาชีพรับจ้างแบกหาม ลูกจ้างที่ใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม กรรกรก่อสร้างต่าง ๆ เป็นต้น
การประกอบอาชีพของคนเราจะมีความสัมพันธ์และมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อทุกคนสามารถประกอบอาชีพได้ผลดีรายได้สูง เศรษฐกิจส่วนก็จะขยายตัวตามเป้าหมายที่วางไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อาชีพที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่จะได้แก่ การประกอบอาชีพทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรม การตลาด และการบริการต่าง ๆ
แหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ
เงินทุน หมายถึง จำนวนเงินที่มีไว้สำหรับนำไปซื้อสิ่งของเพื่อผลิตสินค้าออกขาย เงินทุนนับว่ามีความสำคัญในการประกอบอาชีพของคนเรา เพราะไม่ว่าเราจะทำมาหากินทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม หรือให้บริการต่าง ๆ ก็ตามย่อมต้องการเงินทุนไปลงทุน เช่น เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาปราบ ศัตรูพืช เครื่องทุ่นแรง เจ้าของโรงงานทอผ้าก็ต้องซื้อเครื่องทอผ้า เตาย้อม เส้นด้าย สีย้อม เป็นต้น แหล่งเงินทุนในปัจจุบันมี 2 ลักษณะ
(1) แหล่งเงินทุนนอกระบบ เป็นแหล่งเงินทุนที่ไม่มีสถาบันที่เป็นทางการ เกิดขึ้นตามความจำเป็นและความต้องการที่จะกู้ยืมกัน กฎเกณฑ์ในการกู้ยืมไม่แน่นอนตายตัว ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้กู้และผู้ให้กู้ และผู้ใช้กู้มักเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูง เช่น การกู้ยืมระหว่างเพื่อนบ้าน การเล่นแชร์ การซื้อขายเงินผ่อน เป็นต้น
(2) แหล่งเงินทุนในระบบ เป็นแหล่งเงินทุนที่มีสถาบันที่เป็นทางการ และจะต้องดำเนินธุรกิจไปตามระเบียน และตัวบทกฎหมายที่กำหนดไว้ เช่น การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บรรษัทเงินทุน อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
ปัจจุบันเรามีแหล่งเงินทุนทั้งในและนอกระบบกระจายออกไปทั่วประเทศ ในท้องถิ่นชนบทยังไม่มีแหล่งเงินทุนในระบบแพร่หลาย และประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนในระบบ ดังนั้น ชาวไร่ ชาวนา พ่อค้า ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เป็นต้น ส่วนคนในเมืองที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนในระบบก็มักกู้ยืมจากธนาคารจากธนาคารพาณิชย์สาขาต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในด้านสินเชื่อเพื่อการเกษตร
การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
การสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารออมสิน บริษัทเงินทุน เป็นต้น เมื่อระดมเงินออมจากประชาชนที่นำเงินมาฝากก็จะนำเงินเหล่านี้ให้ประชาชนกู้ยืมไปจ่าย เพื่อใช้เพื่อการบริโภคและเพื่อการลงทุนขยายกิจการ การให้กู้ยืมเป็นเรื่องของเครติด และหนี้ เช่น เมื่อ นาย ก ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารโดยนำโฉนดที่ดินไปจำนอง ทางด้านธนาคารจะเป็น ผู้ให้เครดิต หรอให้สินเชื่อ มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ นาย ก เป็นผู้ใช้เครดิต มีฐานะเป็นลูกหนี้ธนาคาร เนื่องจากที่สถาบันการเงินนำมาให้กู้ยืมเป็นเงินของประชาชนที่นำมาฝากไว้เป็นส่วนใหญ่ สถาบันการเงินจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการกู้เงินตามนโยบายของแต่ะสถาบันการเงินที่กำหนดไว้
(1) หลักเกณฑ์การให้กู้ยืม การที่เอกชนหรือสถาบันการเงินจะตัดสินใจให้ผู้ใดผู้หนึ่งกู้เงิน ผู้ที่จะใช้เครดิตจะต้องมีความมั่นใจว่าจะได้รับเงินที่ให้กู้ไป และการที่จะเกิดความมั่นใจขึ้นได้ สถาบันการเงินมักจะใช้หลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาให้กู้ยืม 3 ประการ คือ
1.1 ด้านอุปนิสัยของผู้ขอกู้ อุปนิสัยของผู้ขอกู้เป็นสิ่งที่ควรได้รับการพิจารณาในอันดับแรก เพราะการให้เครดิตเป็นการเสี่ยงอยู่มาก ผู้ให้เครดิตจึงต้องพิจารณาถึงความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ ประวัติ ความเป็นมา และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ขอกู้ การเข้าถึงพฤติการณ์ในอดีตของลูกหนี้ จะช่วยให้ตัดสินใจปล่อยสินเชื่อให้ลูกหนี้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
1.2 ด้านฐานะและรายได้ของผู้ขอกู้ สมมุติว่าผู้ขอกู้มีอุปนิสัยดี เชื่อถือได้ ข้อที่จะต้องพิจารณาต่อไปก็คือฐานะและรายได้ของผู้ขอกู้ ดูว่าเขาประกอบอาชีพอะไร มั่นคงหรือไม่ ถ้าเป็นธุรกิจก็ควรจะดูรายงานแสดงสถานะการเงิน เพื่อคาดหมายรายได้ในอนาคต ถ้าเห็นว่าผู้ขอกู้ไม่มีทางที่จะหารายได้มาชำระหนี้สินได้ก็มักจะไม่ให้กู้ แม้ว่าผู้นั้นจะมีหลักทรัพย์มาประกันอย่างเพียงพอก็ตาม ในทางตรงกันข้ามผู้ขอกู้มีฐานะและรายได้มั่นคงถึงแม้จะมีหลักทรัพย์มาประกันไม่เพียงพอก็อาจให้กู้ได้ เพราะฐานะและรายได้ของผู้ขอกู้ย่อมสร้างความมั่นใจให้แก่เจ้าหนี้ได้ดี
1.3 หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน หลักทรัพย์ของผู้มาติดต่อขอเครดิต เช่น บ้านเรือน ที่ดิน และทรัพย์สินต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ให้กู้จะต้องเปรียบเทียบหลักทรัพย์กับหนี้สินที่ผู้ก้มีอยู่ ถ้าหนี้สินมีน้อย แต่หลักทรัพย์มีมาก ก็นับว่าให้ความมั่นใจแก่ผู้ให้กู้ได้ดี ถ้าเป็นการกู้ยืมไปทำทุน ทำการค้าก็ต้องดูว่าเขามีทุนพอที่จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ ในกรณีไม่มีหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ ก็ควรมีบุคคลหรือธนาคารเป็นผู้ค้ำประกัน ควรจะพิจารณาฐานะของผู้ค้ำประกันว่าเชื่อถือ หรือ ไว้วางใจได้เพียงใด ถ้าลูกหนี้ไม่สามารถใช้เงินคืน ก็สามารถไล่เบี้ยเอาจากผู้ค้ำประกันได้
ในการกู้ยืมเงินไปลงทุนตามโครงการขนาดใหญ่ สถาบันการเงินอาจพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ ประกอบการให้กู้ยืมเงิน เช่น ความสามารถในการประกอบการของโครงการ ผลตอบแทนทางการเงินที่คาดว่าจะได้รับความสามารถในการชำระเงินต้น และดอกเบี้ยคืน เป็นต้น
(2) การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ การให้กู้ยืมนับเป็นภารกิจที่สำคัญของธนาคารพาณิชย์ เราอาจกู้ยืมเงินจากธนาคารไปลงทุนทำกิจการต่าง ๆ เช่น เกษตรกรอาจกู้ยืมเงินไปซื้อที่ดิน ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช รถไถนา เป็นต้น นักธุรกิจอาจกู้ยืมไปซื้ออาคารสถานที่ เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องมือเครื่องจักร เป็นต้น การกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ที่นิยมทำกันมากอาจแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
(2.1) การกู้โดยตรง (lone) ได้แก่ การกู้เงินโดยรับเงินไปทั้งก้อน เช่น กู้ 100,000 บาท ก็รับเต็มจำนวน 100,000 บาท ทันที่ในวันที่ทำสัญญา ข้อดีของการกู้แบบนี้ก็คือ ธนาคารจะไม่คิดดอกเบี้ยทบต้น แต่มีข้อเสียคือ ถ้าเราตั้งใจจะใช้จริง ๆ เพียง 80,000 บาท แต่กู้มา 100,000 บาท ก็ต้องเสียดอกเบี้ยจากเงินกู้ทั้งหมด 100,000 บาท จะเห็นว่าส่วนที่เกินมา 20,000 บาท ก็ต้องเสียดอกเบี้ยด้วย
(2.2) การกู้โดยเบิกเงินเกินบัญชี (overdraft) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า กู้ โอ.ดี. เราจะกู้เงินประเภทนี้จะต้องเป็นลูกค้าของธนาคารโดยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ผู้กู้เงินจะกำหนดวงเงินกู้กับธนาคารว่าธนาคารยินดีจะให้เบิกเกินบัญชีเงินบัญชีได้เท่าใด เช่น ฝากเงินไว้ 100,000 บาท และขอเบิกเงินเกินบัญชีอีก 200,000 บาท ดังนั้น ผู้กู้เบิกได้เต็มที่ 300,000 บาท การกู้ โอ.ดี. มีข้อดีคือ ตราบใดที่ยังไม่เบิกเงินมาก็ยังไม่ต้องเสียดอกเบี้ย สมมุติว่า เรากำหนดวงเงินกับธนาคารว่าจะของเปิด โอ.ดี. จำนวน 200,000 บาท แต่เบิกมาใช้แค่ 90,000 บาท ดังนั้น ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะเงินที่เบิกไปจริง ๆ 90,000 บาท แต่มิได้คิดจากวงเงิน 200,000 บาท
(3)การกู้ยืมจากโรงรับจำนำ โรงรับจำนำเป็นสถาบันการเงินขนาดเล็ก ตั้งอยู่ตามแหล่งชุมชนทั่วไป เพื่อรับจำนำสิ่งของและเครื่องใช้ต่าง ๆ ทั้งของเล็กและของใหญ่ และของที่ใช้แล้ว ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และขาดเงินหมุนเวียนชั่วคราวที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าเล่าเรียนบุตรหลาน ค่ารักษาพยาบาล หรือเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการค้ารายย่อย ปัจจุบันโรงรับจำนำเริ่มมีบทบาทในฐานะเป็นแหล่งเงินในระบบมากขึ้น พ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจ ผู้ประกอบการรายย่อย เมื่อต้องการเงินหมุนเวียนระยะสั้น ก็จะมาใช้บริการจากโรงรับจำนำ
(3.1) การจำนำ การขอกู้ยืมจากโรงรับจำนำผู้จำนำจะต้องนำทรัพย์สินมีค่า เช่น เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร นาฬิกา ปากกา เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้สำนักงาน และอื่น ๆ มาส่งมอบแก่ผู้รับจำนำเพื่อประกันการชำระหนี้ สำหรับวงเงินที่โรงรับจำนำจะให้กู้ยืมขึ้นอยู่กับราคาเดิมของทรัพย์สินที่จำนำ สภาพของทรัพย์สิน จำนวนปีที่ใช้งานและสภาพอื่น ๆ ซึ่งทางโรงรับจำนำจะเป็นผู้กำหนด โดยทั่วไปพวกเครื่องทองรูปพรรณก็จะได้ราคาประมาณร้อยละ 60-80 ของราคาเนื้อทองคำ ส่วนทรัพย์สินอื่นก็อาจได้ราคาเพียงร้อยละ 30 – 50 ของราคาทรัพย์สินที่จำนำ
(3.2) อัตราดอกเบี้ย การนำสิ่งของไปจำนำ ทางโรงรับจำนำจะคิดดอกเบี้ยจากผู้จำนำแตกต่างกันไปตามวงเงินที่กู้ และโรงรับจำนำของเอกชนกับโรงรับจำนำของทางราชการจะคิดดอกเบี้ยต่างกัน ปกติอัตราดอกเบี้ยของโรงรับจำนำของทางราชการจะต่ำกว่าโรงรับจำนำของเอกชน
(3.3) ช่วงเวลาในการจำนำ โรงรับจำนำทั่วไปจะให้กู้ระยะสั้น ถ้าหากต้องการจะยืดระยะเวลาการกู้ยืม ผู้กู้ยืมจะต้องชำระดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ในระยะเวลาที่ผ่านมาเสียก่อน และถ้าผู้กู้ไม่มาไถ่ถอนตามกำหนด ทางโรงจำนำจะยึดสิ่งของที่ผู้กู้จำนำไว้เพื่อขายทอดตลาด
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว สถาบันทางการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารพาณิชย์ยังให้บริการด้านการซื้อตั๋วลดตั๋วเงิน การออกหนังสือค้ำประกันให้แก่นักธุรกิจ การให้สินเชื่อเพื่อการศึกษา การใช้สินเชื่อเพื่อการประกอบวิชาชีพอิสระ การโอนเงิน และอื่น ๆ ให้แก่ลูกค้าทั่วไปของธนาคาร เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการประกอบอาชีพของประชาชนอีกด้วย
4. การคลังรัฐบาลในชีวิตประจำวัน
การคลังรัฐบาลเป็นการจัดหาเงินของรัฐบาลจากการจัดเก็บภาษีอากร และค่าธรรมเนียมจากประชาชน แล้วนำมาใช้จ่ายตามหน้าที่ของรัฐบาลที่มีต่อประเทศชาติ เช่น จัดสร้างถนนหนทาง จัดบริการความปลอดภัยทั้งในและนอกประเทศ จัดการด้านการศึกษา จัดระบบการเงินของประเทศ เป็นต้น การคลัง รัฐบาลจึงมีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวันของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ
4.1 การเสียภาษีอากรให้รัฐ ภาษีอากรเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐบาลเพื่อนำมาใช้จ่ายบริหารและพัฒนาประเทศ ตามปกติรัฐบาลจะเก็บภาษีตาม หลักประโยชน์ คือ ผู้ใดได้รับประโยชน์จากการบริการของรัฐบาลมากก็ต้องเสียภาษีมาก ผู้ใดได้รับประโยชน์น้อยก็เสียภาษีน้อย และตามหลักความสามารถ คือ ผู้ใดมีความสามารถในการเสียมาก ( พิจารณาจากรายได้ รายจ่าย และทรัพย์สินที่มีอยู่) ก็ต้องเสียภาษีมาก ผู้ใดมีความสามารถน้อย ก็เสียภาษีน้อย เงินภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บไป รัฐบาลจะนำไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ประชาชนรวมทั้งผู้เสียภาษีอากรด้วย รัฐธรรมนูญกำหนดให้การเสียภาษีอากรเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของประชาชน เพื่อให้รัฐบาลมายได้มากพอที่จะใช้จ่ายพัฒนาเศรษฐกิจและบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
4.2 การพัฒนาคุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิตหมายถึงชีวิตที่มีความสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจตามสมควรแก่อัตภาพ สอดคล้องกับทรัพยากร สภาพแวดล้อม ไม่เป็นภาระและก่อให้เกิดปัญหาในสังคม คุณภาพชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ มีคนจำนวนมากยังอยู่ในภาวะยากจนคลาดแคลนในปัจจัยยังชีพ รัฐบาลมีหน้าที่ให้บริการต่าง ๆ แก่ประชาชนเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งในด้านสุขภาพ พลานามัย การศึกษา สาธารณูปโภค อันเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันสินค้าและบริการที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการโดยองค์การของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ สินค้าและบริการ ดังต่อไปนี้
(1) สินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สินค้าและบริการชนิดนี้มีความจำเป็นต่อประชาชนส่วนรวม โดยจะมีคุณสมบัติสำคัญ 2 ประการคือ
(1.1) เป็นสินค้าและบริการที่รัฐบาลใช้เงินงบประมาณจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพื่อประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ถนนหนทาง การชลประทาน การสื่อสาร การจัดการศึกษาภาคบังคับ บริการด้านสาธารณสุข เป็นต้น
(1.2) เป็นสินค้าและบริการที่รัฐบาลใช้เงินภาษีอากรมาจัดทำให้แก่ประชาชนทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าตอบแทน เช่น บริการด้านการป้องกันประเทศ โดยจัดให้กองทัพมีอาวุธยุทโธปรณ์ การจัดให้มีตำรวจเพื่อพิทักษ์สันติราษฏร์ การจัดให้มีกระบวนการยุติธรรม เช่น อัยการ ผู้พิพากษา ราชทัณฑ์ เป็นต้น การบริการเหล่านี้ประชาชนทุกคนจะได้รับโดยเท่าเทียมกัน
(2) สินค้าและบริการที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ธุรกิจบางอย่างมีความสำคัญต่อผู้บริโภคโดยส่วนรวม และมีความจำเป็นในด้านการพัฒนาประเทศ เช่นด้านการลงทุนสร้างเขื่อนต่าง ๆ การลงทุนสร้างทางหลวง ทางด่วนพิเศษ เป็นต้น แต่ด้วยเหตุที่ธุรกิจเหล่านี้ต้องใช้ทุนจำนวนมหาศาลและได้รับผลตอบแทนคืนในระยะเวลานาน จึงมีเอกชนเข้ามาลงทุนในบางธุรกิจเท่านั้น ส่วนใหญ่รัฐบาลต้องเข้าดำเนินการเอง
(3) สินค้าและบริการประเภทสาธารณูปโภค ปกติประชาชนส่วนใหญ่ได้รับบริการด้านสาธารณูปโภคในราคาถูก เพื่อจะได้ใช้กันอย่างทั่วถึง เช่น บริการด้านโทรศัพท์ การขนส่ง ไฟฟ้า ประปา เป็นต้น กิจการเหล่านี้ ถ้าให้เอกชนดำเนินการ อาจมุ่งผลกำไรสูงเกินไปจนผู้บริโภคที่ยากจนเดือดร้อน รัฐบาลจึงเข้าดำเนินการเสียเอง โดยตั้งราคาสินค้าและบริการเหล่านี้ไม่ให้สูงเกินไป
สินค้าและบริการที่องค์การและรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลไทยดำเนินการจัดทำ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค มีทั้งที่ให้เปล่าและที่ต้องเสียค่าตอบแทน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ผู้บริโภคมักเชื่อว่าตนเองไม่สามารถจะเก็บออมได้หากเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำ และถ้าเป็นผู้ที่มีรสนิยมสูง ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยการเก็บออมยิ่งกระทำได้ยาก อันที่จริงความสามารถในการเก็บออมขึ้นอยู่กับการฝึกฝนจนเป็นนิสัยมากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับรายได้ นักเรียนคงจะเคยสังเกตเห็นเพื่อน ๆ บางคน แม้เขาจะมีรายได้น้อยแต่ก็สามารถเก็บออมได้เป็นประจำสม่ำเสมอ ความสามารถในการเก็บออมจึงขึ้นอยู่กับความพยายาม และความตั้งใจของผู้บริโภคมากกว่า ถ้าหากตั้งใจและฝึกฝนจนเป็นนิสัยการออมย่อมจะเกิดขึ้นได้ หลักการออมมีดังต่อไปนี้
(1) ใช้จ่ายอย่างประหยัด การใช้จ่ายอย่างประหยัด หมายถึง การทำสิ่งเล็กน้อยที่สุดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ( Making the most of the least) เมื่อใช้จ่ายได้สิ่งของอย่างใดมาจะต้องใช้ให้คุ้มค่ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมักจะมีนโยบายให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างประหยัดและออมทรัพย์ไว้ใช้ยามจำเป็น ทั้งนี้ก็เพราะตามปกติรายได้ของสมาชิกในครัวเรือนนั้นมีอยู่จำกัด ถ้าผู้บริโภคไม่ใช้จ่ายอย่างประหยัดแล้ว แม้จะมีรายได้สูงสักเท่าใด ก็ย่อมจะไม่เป็นการเพียงพอ และไม่สามารถจะเก็บออมไว้ได้ ซ้ำยังจะต้องกลายเป็นผู้มีหนี้สินเป็ภาระมากมาย
ปัจจุบันรายจ่ายของครัวเรือนในประเทศไทยสูงขึ้นมากในแต่ละปี เพราะราคาสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ครัวเรือนไทยจึงต้องจ่ายเงินส่วนใหญ่ไปเพื่อการอุปโภคบริโภค ทำให้ความสามารถในการออมลดลง เมื่อรายได้ของผู้บริโภคไม่ได้สูงขึ้นในขณะที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น ผู้บริโภคจึงควรหาทางใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อสามารถเก็บออมเงินได้ในส่วนหนึ่ง
(2) การออมเป็นหน้าที่ของสมาชิกในครัวเรือน สมาชิกในครัวเรือนควรได้รับการฝึกฝนอบรมให้รู้จักประหยัดกิน ประหยัดใช้
(3) นึกถึงการออมทุกคราวที่ใช้จ่าย ครัวเรือนที่ดีควรวางแผนการออมเป็นประจำสม่ำเสมอ เมื่อสมาชิกในครัวเรือนจะต้องใช้จ่ายเงินออกไปควรเน้นให้คำนึงถึงการใช้จ่ายอย่างประหยัด ทุกคราวที่จะจ่ายเงินออกไป ควรกันเผื่อเงินออมไว้จำนวนหนึ่งเสมอ หัวหน้าครัวเรือนอาจใช้วิธีบังคับการออมทางอ้อม เช่น ให้นายจ้างจ่ายเงินเดือนผ่านเข้าบัญชีของผู้บริโภคเพื่อควบคุมการใช้จ่าย โดยการเบิกถอนแต่ละคราวด้วยความระมัดระวัง ซึ่งจะเป็นเครื่องช่วยให้มีการออมได้ดีกว่าการเก็บออมเงินสดไว้กับตัว จะใช้จ่ายไปอย่างง่ายดายปราศจากการไตร่ตรองยั้งคิด
2. การใช้บริการสถาบันการเงินเพื่อการออม
เมื่อครัวเรือนมีเงินพอที่จะเก็บออมก็ควรจะตัดสินใจว่าจะนำออกเงินไปหาผลประโยชน์จากแหล่งใด หรืออาจให้กู้ยืมต่อไป ถ้าเราเก็บเงินสดไว้กับบ้านนอกจากจะไม่ได้รับประโยชน์งอกเงยในแง่ของเศรษฐกิจส่วนรวมแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายจากโจรผู้ร้ายอีกด้วย และการที่เราเก็บเงินสดไว้กับตัวย่อมทำให้เงินหายไปจากวงจร ทำให้ภาคเอกชนขาดแคลนเงินที่จะหมุนเวียนซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
การเก็บออมทางสถาบันการเงินจะได้ผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เมื่อผู้ออมรู้จักเลือกบริการจากสถาบันการเงิน โดยคำนึงถึงหลักสำคัญ 3 ประการ คือ
(1) เงินออมนั้นมีความปลอดภัย มีการเสี่ยงที่จะสูญเสียน้อย เช่น ฝากเงินกับธนาคารออมสิน แม้จะได้ดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็มีหลักประกันมั่นคง และควรกระจายการลงทุนไว้หลาย ๆ แห่ง เพื่อให้ปลอดภัยจากการสูญเสียได้มากที่สุด
(2) มีผลประโยชน์ตอบแทนจากการออมพอสมควร ถ้าเรานำเงินออมไปให้เพื่อนบ้านกู้ยืมโดยสัญญาว่าจะให้ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 36 ก็จะเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งเงินต้น และดอกเบี้ยมากกว่าการฝากเงินกับธนาคาร ซึ่งแม้จะให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า แต่ก็มีความมั่นคงปลอดภัยสูงกว่า
(3) วิธีการเก็บออมนั้นควรจะมีสภาพคล่อง (Liquidity) สูง คือ สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย เมื่อเราต้องการจะใช้ เพราะในอนาคตเราไม่แน่ใจว่าจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินเงินมาเมื่อใด อย่างเช่น ถ้าเราฝากเงินเผื่อเรียกไว้ 300,000 บาท เกิดความจำเป็นต้องใช้เงินเมื่อใดก็สามารถไปถอนเอามาใช้ได้ทันที อย่างนี้เรียกว่ามีสภาพคล่องสูง แต่ถ้านำเงิน 300,000 บาท นี้ไปซื้อตั๋วเงินไว้ หากต้องการใช้เงินอาจนำไปใช้ไม่ได้ทันที เป็นต้น
เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจนำเงินออมไปลงทุนก็ต้องพบกับการเสี่ยง ( risk ) ตามปกติการลงทุนที่มีการเสี่ยงสูง ถ้าทำสำเร็จก็มักจะมีผลตอบแทนสูง และถ้ามีการเสี่ยงน้อยก็มักจะได้รับผลตอบแทนต่ำ เช่นถ้านำเงินออมไปฝากประจำในธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีการเสี่ยงน้อยจะได้ดอกเบี้ยในอัตราค่อนข้างต่ำและตายตัว แต่ถ้านำเงินออมไปเล่นแชร์ซึ่งมีการเสี่ยงสูง แต่ก็อาจได้ผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยในอัตราสูง เป็นต้น
2.1 การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงินที่สำคัญเพราะเป็นแหล่งที่ช่วยให้เกิดการระดมเงินออมของประชาชนไปสู่ธุรกิจได้อย่างมากมาย เป็นสถาบันการเงินในระบบอยู่ภายใต้ของเขตที่กฎหมายกำหนด และรัฐบาลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะคอยควบคุมการปฎิบัติงานของธนาคาร เพื่อความปลอดภัยของเงินออมที่ประชาชนฝากไว้กับธนาคาร การนำเงินไปฝากธนาคารทำได้หลายประเภท คือ
(1) เงินฝากกระแสรายวัน เป็นเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนทันทีเมื่อทวงถาม ธนาคารพาณิชย์อาจยอมให้ผู้ฝากเงินกระแสรายวัน เบิกเงินเกินบัญชี ( overdraft ) เรียกย่อว่า โอ.ดี. (O.D.) ได้ ผู้ฝากเงินกระแสรายวันจึงอาจเป็นเจ้าหนี้ธนาคารก็ได้ หรือบางทีก็เป็นลูกหนี้ธนาคารเสียเองก็ได้ ถ้าหากธนาคารยอมให้ใช้ โอ.ดี.
เงินฝากประเภทนี้ปกติจะไม่มีดอกเบี้ยให้ นักธุรกิจที่ต้องการจะใช้เช็ค หรือใช้บริการเงินกู้ประเภทเบิกเกินบัญชี จะต้องเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันขั้นต่ำต้องได้ไม่น้อยกว่าตามที่ธนาคารกำหนด เมื่อเราเปิดบัญชีนี้แล้ว เราก็ซื้อสมุดเช็คจากธนาคาร พร้อมทั้งชำระค่าอากรแสตมป์ตามอัตราที่ทางการกำหนด การจะถอนเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันทำได้โดยการเขียนเช็คสั่งจ่ายเงิน จะจ่ายเงินใครก็ระบุชื่อ ระบุวันที่ และลงรายมือชื่อบนเช็คให้เรียบร้อย
(2) เงินฝากออมทรัพย์ หรือ เงินฝากสะสมทรัพย์ คือ เงินฝากที่เมื่อเปิดบัญชีแล้วจะฝากครั้งละเท่าไรก็ได้ และจะถอนคืนเมื่อไรก็ได้ โดยธนาคารจะคิดดอกเบื้ยให้ตลอดเวลาที่เงินยังอยู่ในบัญชี เป็นเงินฝากระยะสั้น ๆ เช่นเดียวกับเงินฝากกระแสรายวัน แต่โดยทั่วไปผู้ฝากเงินออมทรัพย์มักจะฝากเงินไว้ในบัญชีนานกว่าบัญชีกระแสรายวัน เพราะกรฝากออมทรัพย์มีลักษณะเป็นเงินออม ไม่ได้เป็นเงินสำหรับใช้หมุนเวียนทางการค้า
การฝากเงินประเภทนี้ธนาคารบางแห่งกำหนดว่า ต้องมีเงินไปเปิดบัญชีครั้งแรก เจ้าหน้าที่ของธนาคารจะให้เราลงลายมือชื่อในบัตร เพื่อธนาคารจะเก็บไว้เป็นตัวอย่าง และเมื่อเราไปถอนเงินเจ้าหน้าที่จะได้เอาตัวอย่างลายมือชื่อของเรามาเปรียบเทียบกับลายมือชื่อในใบถอนเงินว่าเหมือนกันหรือไม่ ดังนั้นการลงลายมือชื่อทุกครั้งควรลงลายมือชื่อให้เหมือนกับตัวอย่างที่ธนาคารเก็บไว้ในครั้งแรกที่ไปเปิดบัญชี การฝากเงินครั้งแรก เรียกว่า การเปิดบัญชี ธนาคารจะให้สมุดคู่ฝากมา ในสมุดจะบันทึกรายละเอียดชัดเจนว่า ฝากเมื่อไร จำนวนเงินเท่าไร ต่อไปเมื่อมาติดต่อกับธนาคารจะต้องนำสมุดคู่ฝากมาด้วย การฝากเงิน เจ้าหน้าที่ธนาคารจะออกใบรับเงินให้ เมื่อฝากหรือถอนเงินทุกครั้งนักเรียนควรดูยอดเงินในสมุดคู่ฝากว่าฝากเงินเมื่อไร จำนวนเงินเท่าไร ต่อไปเมื่อมาติดต่อกับธนาคารจะต้องนำสมุดคู่ฝากมาด้วย การฝากเงินเจ้าหน้าที่จะออกใบรับเงินให้ เมื่อฝากหรือถอนเงินทุกครั้งนักเรียนควรดูยอดเงินในสมุดคู่ฝากว่าเพิ่มหรือลดลงถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ ปัจจุบันธนาคารมีบริการถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ด้วย
(3) เงินฝากประจำ เป็นเงินฝากที่ต้องตกลงกำหนดเวลาฝากที่แน่นอนไว้กับธนาคาร ผู้ฝากจะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ตกลงกันก็ต่อเมื่อฝากไว้ครบตามกำหนดมาแล้วเท่านั้น การฝากเงินประเภทนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า เงินฝากชนิดจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลา ( time deposit ) และผู้ฝากจะต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับด้วย
การฝากประเภทนี้หากฝากเงินไม่ครบ 3 เดือน จะไม่ได้ดอกเบี้ย ดังนั้น ถ้านักเรียนมีความจำเป็นต้องใช้เงินอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้า ก็ไม่ควรฝากประเภทนี้ ควรฝากประเภทออมทรัพย์ เพราะธนาคารจะคิดดอกเบี้ยให้ทุกวัน การนำเงินไปฝากประจำครั้งแรก บางธนาคารกำหนดว่าจะต้องมีเงินฝากเปิดบัญชี 1,000 บาทส่วนครั้งต่ออาจฝากครั้งละ 100-200 บาทก็ได้ เมื่อเปิดบัญชีธนาคารจะให้สมุดเงินฝากแก่เราเล่มนึง เช่นเดียวกับการฝากเงินประเภทอื่น ส่วนระเบียบการต่าง ๆ ก็คล้ายกับการฝากเงินออมทรัพย์ เช่น การฝากเงินครั้งแรกต้องลงลายมือชื่อในบัตรเป็นตัวอย่าง การย้ายที่อยู่ต้องแจ้งให้ธนาคารทราบทุกครั้ง
(4) เงินฝากสินมัธยัสถ์ การฝากเงินประเภทนี้เป็นการฝากเงินโดยสะสมไว้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น ต้องการจะเก็บออมไว้เป็นค่าเล่าเรียนบุตรหลาน จะเก็บออมไว้สร้างบ้าน จะเก็บออมไว้ซื้อรถไถนา เป็นต้น และผู้ฝากแน่ใจว่าจะสามารถกันเงินส่วนหนึ่งไม่ว่ะเป็น 100 บาท 500 บาท หรือ 1000 บาท ก็ตามเข้าธนาคารได้สม่ำเสมอทุกเดือนก็ควรเปิดบัญชีเงินฝากประเภทสินมัธยัสถ์กับธนาคาร เช่นวงเงิน 500 บาท ถ้าเราเปิดบัญชีวันแรก วันที่ 1 ของเดือน เดือนต่อ ๆไป จะต้องนำเงิน 500 บาท มาฝากธนาคารภายใน วันที่ 1 ถ้าเราของเปิดบัญชี 3 ปี หากสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้ตลอดเวลา 3 ปี นั้น นอกจากธนาคารจะให้ดอกเบี้ยทบต้นแล้วยังให้เงินรางวัลอีกด้วยจากการที่ทำได้ตามข้อตกลง เงินฝากประเภทนี้ธนาคารเรียกชื่อต่าง ๆ กัน เช่น เงินฝากมัธยัสถ์ เงินฝากสินมัธยะ เงินฝากสินทวี เงินฝากเพื่ออนาคต เป็นต้น
2.2 การออมผ่านสถาบันการเงินอื่น นอกจากการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ เราอาจเก็บออมผ่านสถาบันการเงินอื่นโดยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
(1) การฝากเงินกับบริษัทเงินทุน สถาบันการเงินที่ประกอบการธุรกิจประเภทเงินทุน ได้แก่ บริษัทเงินทุนเป็นสถาบันการเงินที่จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด บริษัทเงินทุนแตกต่างกับ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ กล่าวคือ บริษัทเงินทุนจัดหาทุนเพื่อบุคคลอื่น ซึ่งกระทำโดยการกู้ยืมเงินจากประชาชนทั่วไป วิธีการกู้ยืมที่กฎหมายกำหนดให้ปฏิบัติ บริษัทเงินทุนต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ที่นำเงินมาฝากเป็นหลักฐานในการกู้ยืม ส่วนบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นสถาบันการเงินที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการให้กู้ยืม โดยวิธีรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ (บ้านหรือที่ดิน) หรือรับซื้อฝากอสังหาริมทรัพย์ตามสัญญาขายฝาก การที่บริษัทจะสามารถดำเนินการเช่นนี้ได้ แสดงว่าบริษัทจะต้องมีเงินทุนเพื่อการนี้เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงต้องระดมเงินทุนด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เสนอขายต่อประชาชนทั่วเหมือนบริษัทเงินทุนทั้งหลาย แต่ระยะเวลาของตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเครดิตฟองซิเอร์มีอายุยาวนานกว่า 5 ปีขึ้นขึ้นไป แทนที่จะเป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน หรือ 1 ปี เหมือนกับบริษัทเงินทุน ทั้งนี้เพราะเงินกู้ด้วยวิธีรับจำนองหรือซื้อฝากอสังหาริมทรัพย์เป็นเงินกู้ระยะยาว
(2) การซื้อพันธบัตรรัฐบาล เมื่อรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจต้องการกู้เงินไปใช้จ่ายตามโครงการบางโครงการ เช่น สร้างถนน สร้างเขื่อน ขยายการผลิตไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เหล่านี้ รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจจะนำพันธบัตรออกขายให้แก่สถาบันการเงินหรือประชาชนทั่วไป โดยให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ซื้อพันธบัตรทุกปีจนกว่าจะครบกำหนดไถ่ถอน เนื่องจากรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้กู้ และมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน พันธบัตรรัฐบาลจึงมีความเสี่ยงน้อยมากเมื่อเที่ยบกับหลักทรัพย์ชนิดอื่น ๆ และผู้ถือพันธบัตรรัฐบาล จะขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรรัฐบาลที่ถืออยู่ได้โดยการลดดอกเบี้ยลงตามส่วน นักเรียนจะเห็นได้ว่าการลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลแทนการเก็บเงินไว้ในรูปเงินสด เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย และผู้ออมก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราที่แน่นอน
(3) การซื้อขายประกันชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นสัญญาระบุเงื่อนไขที่บริษัทผู้รับประกันตกลงจะให้ความคุ้มครองผู้เอาประกัน โดยผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันให้ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ตามปกติบุคคลทั่วไปจะต้องดำเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอดของตน และสมาชิกในครัวเรือน กล่าวคือ ทุกคนจะต้องมีสุขภาพดี การศึกษาดี มีรายได้ดี มีทรัพย์สินเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ และเป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลาน จึงต้องจำกัดการเสี่ยงภัยที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนและของสมาชิกในครัวเรือน ส่วนผู้ประกอบธุรกิจจึงต้องลงทุนด้วยกำลังกายและกำลังทรัพย์ จึงต้องจำกัดการเสี่ยงภัยที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่การลงทุนของตน เพราะถ้าเกิดภัยพิบัติกิจการที่ดำเนินการอยู่ก็อาจะต้องสะดุดหยุดลง และต้องประสบกับความเสียหายล้มละลาย เราจึงต้องหาทางจำกัดการเสี่ยงภัยโดยวิธีการต่าง ๆ และวิธีการโอนความรับผิดชอบให้ผู้อื่นก็คือ การประกันภัยไว้กับบริษัทประกันภัย
วิธีการการเสี่ยงภัย เนื่องจากเราไม่ต้องการให้มีภัยเกิดขึ้น ครัวเรือนจึงต้องหาทางจำกัดการเสี่ยงภัยเสียก่อนที่จะเกิดขึ้น โดยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
(1) จำกัดการเสี่ยงภัยด้วยตนเอง เป็นวิธีการจำกัดการเสี่ยงภัยป้องกันการเสียหายโดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่น ซึ่งอาจทำได้ดังนี้
1.1 มีความระมัดระวัง ครัวเรือนอาจเป็นการป้องกันภัยไม่ใช้เกิดแก่สมาชิกในครัวเรือน โดยหมั่นตรวจตราความเรียบร้อยของสายไฟฟ้า ถังแก๊ส ฯลฯ ส่วนนักธุรกิจก็อาจหาวิธีป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นกับโรงงาน หรือสำนักงานของตนเองทั้งทรัพย์สิน และพนักงานลูกจ้าง
1.2 จัดหาเครื่องมือป้องกันภัย ครัวเรือน สำนักงาน และโรงงานผลิต สามารถจัดซื้อเครื่องมือป้องกันภัยตระเตรียมล่วงหน้า เช่น เครื่องดับเพลิง เครื่องสัญญาณแจ้งภัย เป็นต้น
1.3 สะสมเงินออม เพื่อเตรียมไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายเมื่อมีการเสียหายเกิดขึ้น แต่การสะสมเงินอาจทำได้เฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่ารายจ่ายเท่านั้น ส่วนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ แม้จะมีเงินเหลือเก็บออมไว้ได้บ้าง ก็คงมีจำนวนไม่มากพอท่ะนำไปชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้
(2) จำกัดการเสี่ยงภัยโดยโอนความรับผิดชอบให้ผู้อื่น เนื่องจากการจำกัดการเสี่ยงภัยโดยตนเองยังมีขีดจำกัดอยู่มากจึงนิยมจำกัดการเสี่ยงภัยของตนเองและครัวเรือน ด้วยการมอบให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบใช้ค่าเสียหายเมื่อตาย ชราภาพ พิการ ประสบอุบัติเหตุ หรือมีภัยเกิดแก่ทรัพย์สิน โดยเลือกประเภทการประกันภัยให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถในการส่งเบี้ยประกัน
ความหมายของการประกันชีวิต โดยทั้วไปผู้ทำประกันชีวิตต้องออมทรัพย์บางส่วนของตนส่งบริษัทผู้รับประกันชีวิตเพื่อเป็นหลักประกันในอนาคต เมื่อชราภาพหรือพิการหรือเสียชีวิต จะได้รับเงินจำนวนหนึ่งไว้เลี้ยงตนหรือสมาชิกในครัวเรือน ดังนั้นเราจึงอาจให้ความหมายของการประกันชีวิตไว้ดังนี้
การประกันชีวิต หมายถึง การประกันลมหายใจ คือ เมื่อทำประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกันชีวิตแล้วเกิดตายไป คือไม่หายใจ ก็ให้ทางบริษัทประกันชีวิตจ่ายเงินให้แก่ภรรยาหรือบุตรของคนที่ทำประกันชีวิต ซึ่งเรียกว่า ผู้เอาประกัน ( ผู้ที่ตกลงทำประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกันชีวิต)
การประกันชีวิต หมายถึง การทดแทนการสูญเสียรายได้ ตัวอย่างเช่น ครอบครัวหนึ่งสามีทำประกันชีวิตไว้ โดยใส่ชื่อภรรยาและบุตรผู้รับประโยชน์ (จะได้รับเงินจากบริษัทประกันชีวิต เมื่อผู้เอาประกันถึงแก่ความตาย) เมื่อสามีตายทำให้ครอบครัวขาดรายได้ บริษัทประกันชีวิตก็จ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ ถือว่าเป็นการชดเชยรายได้แก่ครอบครัวนี้
การประกันชีวิต หมายถึง แผนการที่คนกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันแบ่งเบาความเดือนร้อนด้านการเงินที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของบุคคลในกลุ่ม เนื่องมาจากความตายของหัวหน้าครอบครัว
ประโยชน์ของการประกันชีวิต เนื่องจากการประกันชีวิตเป็นวิธีการี่ดีในการสร้างความมั่นคงให้แก้สมาชิกในครัวเรือน เป็นการเก็บออมที่ได้รับผลประโยชน์งอกเงย การประกันชีวิตจึงก่อประโยชน์ทั้งต่อครัวเรือน เศรษฐกิจ และ สังคมของประเทศชาติ คือ
(1) ประโยชน์ต่อครัวเรือน ถ้าบังเอิญหัวหน้าครัวเรือนเคราะห์ร้ายถึงแก่ความตายก่อนเวลาอันสมควร สมาชิกในครัวเรือนต้องประสบความลำบาก ดังนั้นหัวหน้าครัวเรือนที่รักและเป็นห่วงสมาชิกในครัวเรือนของตน จึงประกันชีวิตไว้ ถ้ามีอันเป็นไปก็ให้บริษัทประกันชีวิตชดใช้เงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งทำให้ภรรยาและบุตรสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาญาติพี่น้อง
(2) ประโยชน์ต่อธุรกิจ เศรษฐกิจของประเทศจะมีความมั่นคงหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความมั่นคงของธุรกิจต่าง ๆ ที่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าประธานหรือผู้จัดการงานธุรกิจเป็นคนมีความชำนาญสูง ธุรกิจก็งอกงาม ถ้าผู้จัดการเกิดเจ็บ ชรา และตาย ผลก็คืออาจทำให้ธุรกิจต้องหยุดกิจการ ถ้าต้องการป้องกันไว้เสียก่อนก็ควรมีการประกันชีวิตไว้ เพื่อทำให้ผู้สืบทอดธุรกิจ หรือผู้ที่มีหุ้นส่วนในธุรกิจสามารถมีทุนรอนในการดำเนินธุรกิจนั้นต่อไปได้ และจะเป็นการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย การประกันชีวิตในลักษณะนี้ เรียกว่า การประกันธุรกิจ
การประกันชีวิตส่งผลให้เกิดการออมทรัพย์และเบี้ยประกัน (หมายถึง จำนวนเงินที่ผู้เอาประกันจ่ายให้กับบริษัทประกันชีวิต) ที่บริษัทประกันชีวิตเก็บมาช่วยออมไว้นั้น นำไปลงทุนให้เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจ และการพัฒนาบ้านเมือง จึงเห็นได้ว่าไม่มีธุรกิจใดจะให้ประโยชน์แก่ส่วนรวมได้มากเท่ากับการประกันชีวิต ให้ทั้งการคุ้มครองและช่วยสร้างหลักฐานของประชาชน
(3) ประโยชน์ต่อสังคม การประกันชีวิตมีส่วนช่วยในการสะสมทุนเพื่อพัฒนาสังคม กล่าวคือ เงินเบี้ยประกันที่เราจ่ายให้แก่บริษัทประกันชีวิต เมื่อนำมารวมกันจะเป็นเงินก้อนใหญ่ สามารถให้เอกชน หรือรัฐบาลกู้ยืมได้ ยิ่งกว่านั้นเบี้ยประกันที่บริษัทได้รับจากเราเป็นเงินที่ฝากระยะยาว เหมาะสมที่จะให้กู้ยืมไปลงทุนได้ ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตนับว่าเป็นสถาบันการเงินที่สำคัญในการช่วยพัฒนาประเทศอีกด้วย
การประกันชีวิตช่วยให้เกิดสันติสุข และความปลอดภัยในสังคม คนเราต้องการมีชีวิตอย่างผาสุกและปลอดภัย ไม่ต้องห่วงกังวลถึงอนาคต การประกันชีวิตเป็นการชดเชยการสูญเสียรายได้อันเนื่องมาจากการเสียชีวิต พิการ ชรา เป็นการประกันการคงอยู่ของรายได้ เพื่อเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต นั่นก็คือ เป็นการประกันความสุขและความมั่นคงปลอดภัยของตนนั่นเอง
ประเภทของการประกันชีวิต การประกันชีวิตอาจทำได้หลายประเภทด้วยกันตามความต้องการของผู้เอาประกัน คือ
(1) การประกันแบบกำหนดเวลา การประกันแบบนี้ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันในระยะเวลาของกรมธรรม์(สัญญาประกันชีวิต) เท่านั้น คือระบุไว้ว่าจะประกัน 1 ปี หรือ 3 ปี หรือ 5 ปี หรือ 10 ปี ถ้าผู้ประกันไม่ตายในระยะเวลาของกรมธรรม์ ผู้เอาประกันจะไม่ได้รับอะไรเลย แม้แต่เบี้ยประกันที่จ่ายแก่บริษัทประกันชีวิตไปแล้ว
(2) การประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เป็นกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้เอาประกัน เมื่อตายบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ทายาท บริษัทจะบอกเลิกสัญญาไม่ได้ การประกันชีวิตแบบตลอดชีพนี้ให้ความคุ้มครองจนตาย หรือมีอายุครบ 100 ปี การชำระเบี้ยประกันก็จะจ่ายให้แก่บริษัทไปเรื่อย ๆ จนผู้เอาประกันมีอายุ 90 ปี เมื่อถึงตอนนี้ทางบริษัทจะยินยอมให้ไม่ต้องชำระต่อไปอีก แม้จะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม ไม่ว่าผู้เอาประกันจะตายเมื่อใด บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินคืนให้ และถ้ามีเงินปันผลเกิดขึ้นก็จะคืนให้ด้วย การประกันชีวิตแบบตลอดชีพนี้ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันตายเท่านั้น ผู้รับเงินคือทายาทของผู้เอาประกัน
(3) การประกันแบบสะสมทรัพย์ เป็นการประกันที่ผู้เอาประกันตายหรือไม่ก็ตาม บริษัทประกันชีวิตจ่ายเงินคืนให้ทั้ง 2 กรณี เช่น นาย ก อายุ 30 ปี ทำการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ทุนประกันชีวิตเป็นเงิน 1,000,000 บาท และจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 30 ปี ปีละ 30,000 บาท สมมุติว่า นาย ก ตาย เมื่ออายุ 50 ปี คือจ่ายดอกเบี้ยประกันไปได้ 20 งวด ทางบริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ 1,000,000 บาท หรือ นาย ก ยังคงมีชีวิตอยู่จนถึง 60 ปี ทางบริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินคืนให้นาย ก 1,000,000 บาท การประกันแบบสะสมทรัพย์นี้เป็นที่นิยมมากกว่าแบบอื่น แม้เบี้ยประกันจะแพงแต่ผู้เอาประกันจะได้รับผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเสียชีวิตไปก่อนครอบกำหนดสัญญา หรือมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญาก็ตาม
(4) การประกันแบบบำนาญ เป็นการประกันที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกัน นับตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันไม่สามารถมีรายได้เป็นของตัวเอง การประกันแบบบำนาญหรือการประกันแบบรายได้ประจำนี้ ไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย เนื่องจากผู้ประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันทั้งก้อน หรือจ่ายเพียงไม่กี่งวดให้ครบเท่าทุนประกัน
นอกจากนี้ยังมีการประกันอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นการประกันสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้บาดเจ็บ พิการ หรือถึงแก่ความตาย และการประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นการประกันแบบคุ้มครองสุขภาพหรือการเจ็บป่วยให้แก่ผู้เอาประกัน คู่สมรส และบุตรของผู้เอาประกันที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี โดยบริษัทผู้รับประกันจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาโรคของผู้เอาประกันและสมาชิกการประกันทั้ง 2 แบบนี้ปกติจะเป็นการประกันระยะสั้น (ปกติ 1 ปี) ถ้ามีการเสียหายเกิดขึ้นภายในระยะเวลาของสัญญา บริษัทผู้รับประกันก็จะชดใช้ความเสียให้ แต่ถ้าความเสียหายไม่เกิดขึ้นบริษัทผู้รับประกันก็จะไม่คืนเบี้ยประกันได้จ่ายไป
โดยสรุป การออมในความหมายแบบใดก็ตามก็คือ เงินรายได้ส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายแล้ว เงินออมนี้จะถูกนำไปลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์เพิ่มเติมในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น บุคคลที่มีการวางแผนที่ดีในการใช้จ่ายรายได้หามาได้นั้นเป็นหนทางอันหนึ่งที่จะทำให้เกิดการออม แต่การออมของบุคคลนั้นจะมีมากหรือน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับอิทธิพลของอัตราดอกเบี้ย ระดับรายได้ของเขา และบริการของสถาบันการเงินต่าง ๆ อย่างเช่น บริการเอทีเอ็ม ที่ลูกค้าธนาคารพาณิชย์นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้น การที่จะตัดสินใจเก็บออมผ่ายสถาบันการเงินใดเราก็ควรจะได้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราผลตอบแทนความปลอดภัยของเงินออม สภาพคล่องของทรัพย์สินที่ลงทุนไว้ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
3. แหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน
ตามปกติครัวเรือนซึ่งเป็นหน่วยเศรษฐกิจ (economic unit) ที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศจะดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการประกอบอาชีพเพื่อหารายได้ เมื่อมีรายได้ เข้ามาสมาชิกในครัวเรือนก็จะใช้จ่าย ดำรงชีพ ที่เหลือก็จะ เก็บออม ไว้หาประโยชน์งอกเงย ถ้าเราสามารถจัดกิจกรรมทั้ง 3 ได้สอดคล้องต้องกัน ชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในครัวเรือนก็จะอยู่ดีกินดี มีอนาคตก้าวหน้า และมีผลให้เศรษฐกิจส่วนรวม ของประเทศเจริญก้าวหน้าไปด้วย นอกจากนี้การประกอบอาชีพให้มีรายได้สูงขึ้น นับว่าเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจทางเศรษฐกิจสำคัญ เนื่องจากความต้องการของคนเราไม่ได้หยุดอยู่ที่การมีอาหารพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มียาสำหรับรักษายามเจ็บป่วย มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มห่อหุ้มร่างกาย หรือมีบ้านพอคุ้มแดดคุ้มฝนเท่านั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ ในปัจจุบันมนุษย์ยังต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันอีกด้วย เราจึงมีความต้องการเพิ่มพูนรายได้ ต้องการแหล่งทุนเพื่อขยายกิจการของเราให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
การประกอบอาชีพ เราอาจจำแนกการประกอบอาชีพของครัวเรือนในประเทศไทยออกได้ดังนี้
(1) อาชีพอิสระ เป็นการประกอบการงานเพื่อรายได้โดยจัดและประกอบด้วยตนเอง หรือ กลุ่ม โดยทั่วไปอาชีพอิสระแบ่งออกตามระดับการใช้ความรู้และความสามารถในการประกอบอาชีพได้ 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 กลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะหรือความรู้ในระดับปริญญา หรือ อนุปริญญา เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ เภสัชกร สถาปนิก วิศวกร ทนายความ ผู้ตรวจบัญชี เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 กลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะหรือความรู้ในระดับที่ต่ำกว่าอนุปริญญา เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างเครื่องยนต์ ช่างวิทยุ ช่างเขียนแบบ ช่างตัดเสื้อ ช่างตัดผม ช่างเสริมสวย ช่างเย็บหนัง เป็นต้น
กลุ่มที่ 3 กลุ่มอาชีพที่ไม่ต้องใช้ทักษะหรือความรู้ในวิชาชีพอย่างหนึ่งใดโดยเฉพาะ เช่น ผู้ประกอบการ ขายของชำ ขายข้าวแกง ขายผลไม้ ขายหนังสือ ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ขับรถรับจ้าง หาบเร่แผงลอย เป็นต้น
การประกอบอาชีพอิสระเหล่านี้ เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในด้านการผลิต การขายและการบริการซึ่งผู้ประกอบการอาจเลือกทำเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทำหลายส่วนก็ได้
(2) อาชีพรับจ้างและแรงงาน เป็นการประกอบการงานเพื่อหารายได้โดยรับจ้างหรือใช้แรงงานในสถานประกอบการของนายจ้าง จำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 กลุ่มอาชีพที่ใช้ทักษะหรือความรู้ในวิชาชีพอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ เช่น ช่างเครื่องยนต์ ช่างไฟฟ้า ช่างวิทยุ ช่างตัดเสื้อ ช่างเย็บหนัง ช่างเสริมสวย เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 กลุ่มอาชีพที่ไม่ใช้ทักษะหรือความรู้ในวิชาชีพอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ โดยทั่วไปมักเรียกว่า กลุ่มกรรมกร หรือผู้ใช้แรงงาน เช่น อาชีพรับจ้างแบกหาม ลูกจ้างที่ใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม กรรกรก่อสร้างต่าง ๆ เป็นต้น
การประกอบอาชีพของคนเราจะมีความสัมพันธ์และมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อทุกคนสามารถประกอบอาชีพได้ผลดีรายได้สูง เศรษฐกิจส่วนก็จะขยายตัวตามเป้าหมายที่วางไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อาชีพที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่จะได้แก่ การประกอบอาชีพทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรม การตลาด และการบริการต่าง ๆ
แหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ
เงินทุน หมายถึง จำนวนเงินที่มีไว้สำหรับนำไปซื้อสิ่งของเพื่อผลิตสินค้าออกขาย เงินทุนนับว่ามีความสำคัญในการประกอบอาชีพของคนเรา เพราะไม่ว่าเราจะทำมาหากินทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม หรือให้บริการต่าง ๆ ก็ตามย่อมต้องการเงินทุนไปลงทุน เช่น เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาปราบ ศัตรูพืช เครื่องทุ่นแรง เจ้าของโรงงานทอผ้าก็ต้องซื้อเครื่องทอผ้า เตาย้อม เส้นด้าย สีย้อม เป็นต้น แหล่งเงินทุนในปัจจุบันมี 2 ลักษณะ
(1) แหล่งเงินทุนนอกระบบ เป็นแหล่งเงินทุนที่ไม่มีสถาบันที่เป็นทางการ เกิดขึ้นตามความจำเป็นและความต้องการที่จะกู้ยืมกัน กฎเกณฑ์ในการกู้ยืมไม่แน่นอนตายตัว ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้กู้และผู้ให้กู้ และผู้ใช้กู้มักเรียกดอกเบี้ยในอัตราสูง เช่น การกู้ยืมระหว่างเพื่อนบ้าน การเล่นแชร์ การซื้อขายเงินผ่อน เป็นต้น
(2) แหล่งเงินทุนในระบบ เป็นแหล่งเงินทุนที่มีสถาบันที่เป็นทางการ และจะต้องดำเนินธุรกิจไปตามระเบียน และตัวบทกฎหมายที่กำหนดไว้ เช่น การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บรรษัทเงินทุน อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น
ปัจจุบันเรามีแหล่งเงินทุนทั้งในและนอกระบบกระจายออกไปทั่วประเทศ ในท้องถิ่นชนบทยังไม่มีแหล่งเงินทุนในระบบแพร่หลาย และประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนในระบบ ดังนั้น ชาวไร่ ชาวนา พ่อค้า ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เป็นต้น ส่วนคนในเมืองที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนในระบบก็มักกู้ยืมจากธนาคารจากธนาคารพาณิชย์สาขาต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมทั้งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในด้านสินเชื่อเพื่อการเกษตร
การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
การสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารออมสิน บริษัทเงินทุน เป็นต้น เมื่อระดมเงินออมจากประชาชนที่นำเงินมาฝากก็จะนำเงินเหล่านี้ให้ประชาชนกู้ยืมไปจ่าย เพื่อใช้เพื่อการบริโภคและเพื่อการลงทุนขยายกิจการ การให้กู้ยืมเป็นเรื่องของเครติด และหนี้ เช่น เมื่อ นาย ก ทำสัญญากู้เงินจากธนาคารโดยนำโฉนดที่ดินไปจำนอง ทางด้านธนาคารจะเป็น ผู้ให้เครดิต หรอให้สินเชื่อ มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ นาย ก เป็นผู้ใช้เครดิต มีฐานะเป็นลูกหนี้ธนาคาร เนื่องจากที่สถาบันการเงินนำมาให้กู้ยืมเป็นเงินของประชาชนที่นำมาฝากไว้เป็นส่วนใหญ่ สถาบันการเงินจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการกู้เงินตามนโยบายของแต่ะสถาบันการเงินที่กำหนดไว้
(1) หลักเกณฑ์การให้กู้ยืม การที่เอกชนหรือสถาบันการเงินจะตัดสินใจให้ผู้ใดผู้หนึ่งกู้เงิน ผู้ที่จะใช้เครดิตจะต้องมีความมั่นใจว่าจะได้รับเงินที่ให้กู้ไป และการที่จะเกิดความมั่นใจขึ้นได้ สถาบันการเงินมักจะใช้หลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาให้กู้ยืม 3 ประการ คือ
1.1 ด้านอุปนิสัยของผู้ขอกู้ อุปนิสัยของผู้ขอกู้เป็นสิ่งที่ควรได้รับการพิจารณาในอันดับแรก เพราะการให้เครดิตเป็นการเสี่ยงอยู่มาก ผู้ให้เครดิตจึงต้องพิจารณาถึงความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ ประวัติ ความเป็นมา และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ขอกู้ การเข้าถึงพฤติการณ์ในอดีตของลูกหนี้ จะช่วยให้ตัดสินใจปล่อยสินเชื่อให้ลูกหนี้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
1.2 ด้านฐานะและรายได้ของผู้ขอกู้ สมมุติว่าผู้ขอกู้มีอุปนิสัยดี เชื่อถือได้ ข้อที่จะต้องพิจารณาต่อไปก็คือฐานะและรายได้ของผู้ขอกู้ ดูว่าเขาประกอบอาชีพอะไร มั่นคงหรือไม่ ถ้าเป็นธุรกิจก็ควรจะดูรายงานแสดงสถานะการเงิน เพื่อคาดหมายรายได้ในอนาคต ถ้าเห็นว่าผู้ขอกู้ไม่มีทางที่จะหารายได้มาชำระหนี้สินได้ก็มักจะไม่ให้กู้ แม้ว่าผู้นั้นจะมีหลักทรัพย์มาประกันอย่างเพียงพอก็ตาม ในทางตรงกันข้ามผู้ขอกู้มีฐานะและรายได้มั่นคงถึงแม้จะมีหลักทรัพย์มาประกันไม่เพียงพอก็อาจให้กู้ได้ เพราะฐานะและรายได้ของผู้ขอกู้ย่อมสร้างความมั่นใจให้แก่เจ้าหนี้ได้ดี
1.3 หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน หลักทรัพย์ของผู้มาติดต่อขอเครดิต เช่น บ้านเรือน ที่ดิน และทรัพย์สินต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ให้กู้จะต้องเปรียบเทียบหลักทรัพย์กับหนี้สินที่ผู้ก้มีอยู่ ถ้าหนี้สินมีน้อย แต่หลักทรัพย์มีมาก ก็นับว่าให้ความมั่นใจแก่ผู้ให้กู้ได้ดี ถ้าเป็นการกู้ยืมไปทำทุน ทำการค้าก็ต้องดูว่าเขามีทุนพอที่จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ ในกรณีไม่มีหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ ก็ควรมีบุคคลหรือธนาคารเป็นผู้ค้ำประกัน ควรจะพิจารณาฐานะของผู้ค้ำประกันว่าเชื่อถือ หรือ ไว้วางใจได้เพียงใด ถ้าลูกหนี้ไม่สามารถใช้เงินคืน ก็สามารถไล่เบี้ยเอาจากผู้ค้ำประกันได้
ในการกู้ยืมเงินไปลงทุนตามโครงการขนาดใหญ่ สถาบันการเงินอาจพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ ประกอบการให้กู้ยืมเงิน เช่น ความสามารถในการประกอบการของโครงการ ผลตอบแทนทางการเงินที่คาดว่าจะได้รับความสามารถในการชำระเงินต้น และดอกเบี้ยคืน เป็นต้น
(2) การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ การให้กู้ยืมนับเป็นภารกิจที่สำคัญของธนาคารพาณิชย์ เราอาจกู้ยืมเงินจากธนาคารไปลงทุนทำกิจการต่าง ๆ เช่น เกษตรกรอาจกู้ยืมเงินไปซื้อที่ดิน ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช รถไถนา เป็นต้น นักธุรกิจอาจกู้ยืมไปซื้ออาคารสถานที่ เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องมือเครื่องจักร เป็นต้น การกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ที่นิยมทำกันมากอาจแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
(2.1) การกู้โดยตรง (lone) ได้แก่ การกู้เงินโดยรับเงินไปทั้งก้อน เช่น กู้ 100,000 บาท ก็รับเต็มจำนวน 100,000 บาท ทันที่ในวันที่ทำสัญญา ข้อดีของการกู้แบบนี้ก็คือ ธนาคารจะไม่คิดดอกเบี้ยทบต้น แต่มีข้อเสียคือ ถ้าเราตั้งใจจะใช้จริง ๆ เพียง 80,000 บาท แต่กู้มา 100,000 บาท ก็ต้องเสียดอกเบี้ยจากเงินกู้ทั้งหมด 100,000 บาท จะเห็นว่าส่วนที่เกินมา 20,000 บาท ก็ต้องเสียดอกเบี้ยด้วย
(2.2) การกู้โดยเบิกเงินเกินบัญชี (overdraft) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า กู้ โอ.ดี. เราจะกู้เงินประเภทนี้จะต้องเป็นลูกค้าของธนาคารโดยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ผู้กู้เงินจะกำหนดวงเงินกู้กับธนาคารว่าธนาคารยินดีจะให้เบิกเกินบัญชีเงินบัญชีได้เท่าใด เช่น ฝากเงินไว้ 100,000 บาท และขอเบิกเงินเกินบัญชีอีก 200,000 บาท ดังนั้น ผู้กู้เบิกได้เต็มที่ 300,000 บาท การกู้ โอ.ดี. มีข้อดีคือ ตราบใดที่ยังไม่เบิกเงินมาก็ยังไม่ต้องเสียดอกเบี้ย สมมุติว่า เรากำหนดวงเงินกับธนาคารว่าจะของเปิด โอ.ดี. จำนวน 200,000 บาท แต่เบิกมาใช้แค่ 90,000 บาท ดังนั้น ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะเงินที่เบิกไปจริง ๆ 90,000 บาท แต่มิได้คิดจากวงเงิน 200,000 บาท
(3)การกู้ยืมจากโรงรับจำนำ โรงรับจำนำเป็นสถาบันการเงินขนาดเล็ก ตั้งอยู่ตามแหล่งชุมชนทั่วไป เพื่อรับจำนำสิ่งของและเครื่องใช้ต่าง ๆ ทั้งของเล็กและของใหญ่ และของที่ใช้แล้ว ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ และขาดเงินหมุนเวียนชั่วคราวที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าเล่าเรียนบุตรหลาน ค่ารักษาพยาบาล หรือเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการค้ารายย่อย ปัจจุบันโรงรับจำนำเริ่มมีบทบาทในฐานะเป็นแหล่งเงินในระบบมากขึ้น พ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจ ผู้ประกอบการรายย่อย เมื่อต้องการเงินหมุนเวียนระยะสั้น ก็จะมาใช้บริการจากโรงรับจำนำ
(3.1) การจำนำ การขอกู้ยืมจากโรงรับจำนำผู้จำนำจะต้องนำทรัพย์สินมีค่า เช่น เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร นาฬิกา ปากกา เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้สำนักงาน และอื่น ๆ มาส่งมอบแก่ผู้รับจำนำเพื่อประกันการชำระหนี้ สำหรับวงเงินที่โรงรับจำนำจะให้กู้ยืมขึ้นอยู่กับราคาเดิมของทรัพย์สินที่จำนำ สภาพของทรัพย์สิน จำนวนปีที่ใช้งานและสภาพอื่น ๆ ซึ่งทางโรงรับจำนำจะเป็นผู้กำหนด โดยทั่วไปพวกเครื่องทองรูปพรรณก็จะได้ราคาประมาณร้อยละ 60-80 ของราคาเนื้อทองคำ ส่วนทรัพย์สินอื่นก็อาจได้ราคาเพียงร้อยละ 30 – 50 ของราคาทรัพย์สินที่จำนำ
(3.2) อัตราดอกเบี้ย การนำสิ่งของไปจำนำ ทางโรงรับจำนำจะคิดดอกเบี้ยจากผู้จำนำแตกต่างกันไปตามวงเงินที่กู้ และโรงรับจำนำของเอกชนกับโรงรับจำนำของทางราชการจะคิดดอกเบี้ยต่างกัน ปกติอัตราดอกเบี้ยของโรงรับจำนำของทางราชการจะต่ำกว่าโรงรับจำนำของเอกชน
(3.3) ช่วงเวลาในการจำนำ โรงรับจำนำทั่วไปจะให้กู้ระยะสั้น ถ้าหากต้องการจะยืดระยะเวลาการกู้ยืม ผู้กู้ยืมจะต้องชำระดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ในระยะเวลาที่ผ่านมาเสียก่อน และถ้าผู้กู้ไม่มาไถ่ถอนตามกำหนด ทางโรงจำนำจะยึดสิ่งของที่ผู้กู้จำนำไว้เพื่อขายทอดตลาด
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว สถาบันทางการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารพาณิชย์ยังให้บริการด้านการซื้อตั๋วลดตั๋วเงิน การออกหนังสือค้ำประกันให้แก่นักธุรกิจ การให้สินเชื่อเพื่อการศึกษา การใช้สินเชื่อเพื่อการประกอบวิชาชีพอิสระ การโอนเงิน และอื่น ๆ ให้แก่ลูกค้าทั่วไปของธนาคาร เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการประกอบอาชีพของประชาชนอีกด้วย
4. การคลังรัฐบาลในชีวิตประจำวัน
การคลังรัฐบาลเป็นการจัดหาเงินของรัฐบาลจากการจัดเก็บภาษีอากร และค่าธรรมเนียมจากประชาชน แล้วนำมาใช้จ่ายตามหน้าที่ของรัฐบาลที่มีต่อประเทศชาติ เช่น จัดสร้างถนนหนทาง จัดบริการความปลอดภัยทั้งในและนอกประเทศ จัดการด้านการศึกษา จัดระบบการเงินของประเทศ เป็นต้น การคลัง รัฐบาลจึงมีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวันของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ
4.1 การเสียภาษีอากรให้รัฐ ภาษีอากรเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐบาลเพื่อนำมาใช้จ่ายบริหารและพัฒนาประเทศ ตามปกติรัฐบาลจะเก็บภาษีตาม หลักประโยชน์ คือ ผู้ใดได้รับประโยชน์จากการบริการของรัฐบาลมากก็ต้องเสียภาษีมาก ผู้ใดได้รับประโยชน์น้อยก็เสียภาษีน้อย และตามหลักความสามารถ คือ ผู้ใดมีความสามารถในการเสียมาก ( พิจารณาจากรายได้ รายจ่าย และทรัพย์สินที่มีอยู่) ก็ต้องเสียภาษีมาก ผู้ใดมีความสามารถน้อย ก็เสียภาษีน้อย เงินภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บไป รัฐบาลจะนำไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ประชาชนรวมทั้งผู้เสียภาษีอากรด้วย รัฐธรรมนูญกำหนดให้การเสียภาษีอากรเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของประชาชน เพื่อให้รัฐบาลมายได้มากพอที่จะใช้จ่ายพัฒนาเศรษฐกิจและบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
4.2 การพัฒนาคุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิตหมายถึงชีวิตที่มีความสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจตามสมควรแก่อัตภาพ สอดคล้องกับทรัพยากร สภาพแวดล้อม ไม่เป็นภาระและก่อให้เกิดปัญหาในสังคม คุณภาพชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ มีคนจำนวนมากยังอยู่ในภาวะยากจนคลาดแคลนในปัจจัยยังชีพ รัฐบาลมีหน้าที่ให้บริการต่าง ๆ แก่ประชาชนเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งในด้านสุขภาพ พลานามัย การศึกษา สาธารณูปโภค อันเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันสินค้าและบริการที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการโดยองค์การของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ สินค้าและบริการ ดังต่อไปนี้
(1) สินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สินค้าและบริการชนิดนี้มีความจำเป็นต่อประชาชนส่วนรวม โดยจะมีคุณสมบัติสำคัญ 2 ประการคือ
(1.1) เป็นสินค้าและบริการที่รัฐบาลใช้เงินงบประมาณจัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพื่อประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ถนนหนทาง การชลประทาน การสื่อสาร การจัดการศึกษาภาคบังคับ บริการด้านสาธารณสุข เป็นต้น
(1.2) เป็นสินค้าและบริการที่รัฐบาลใช้เงินภาษีอากรมาจัดทำให้แก่ประชาชนทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าตอบแทน เช่น บริการด้านการป้องกันประเทศ โดยจัดให้กองทัพมีอาวุธยุทโธปรณ์ การจัดให้มีตำรวจเพื่อพิทักษ์สันติราษฏร์ การจัดให้มีกระบวนการยุติธรรม เช่น อัยการ ผู้พิพากษา ราชทัณฑ์ เป็นต้น การบริการเหล่านี้ประชาชนทุกคนจะได้รับโดยเท่าเทียมกัน
(2) สินค้าและบริการที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ธุรกิจบางอย่างมีความสำคัญต่อผู้บริโภคโดยส่วนรวม และมีความจำเป็นในด้านการพัฒนาประเทศ เช่นด้านการลงทุนสร้างเขื่อนต่าง ๆ การลงทุนสร้างทางหลวง ทางด่วนพิเศษ เป็นต้น แต่ด้วยเหตุที่ธุรกิจเหล่านี้ต้องใช้ทุนจำนวนมหาศาลและได้รับผลตอบแทนคืนในระยะเวลานาน จึงมีเอกชนเข้ามาลงทุนในบางธุรกิจเท่านั้น ส่วนใหญ่รัฐบาลต้องเข้าดำเนินการเอง
(3) สินค้าและบริการประเภทสาธารณูปโภค ปกติประชาชนส่วนใหญ่ได้รับบริการด้านสาธารณูปโภคในราคาถูก เพื่อจะได้ใช้กันอย่างทั่วถึง เช่น บริการด้านโทรศัพท์ การขนส่ง ไฟฟ้า ประปา เป็นต้น กิจการเหล่านี้ ถ้าให้เอกชนดำเนินการ อาจมุ่งผลกำไรสูงเกินไปจนผู้บริโภคที่ยากจนเดือดร้อน รัฐบาลจึงเข้าดำเนินการเสียเอง โดยตั้งราคาสินค้าและบริการเหล่านี้ไม่ให้สูงเกินไป
สินค้าและบริการที่องค์การและรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลไทยดำเนินการจัดทำ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค มีทั้งที่ให้เปล่าและที่ต้องเสียค่าตอบแทน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
หน่วยงานที่จัดทำ
|
สินค้าและบริการ
|
กระทรวงศึกษาธิการ
|
จัดการศึกษาภาคบังคับ มัธยมศึกษา
อาชีวศึกษา และ อุดมศึกษา
|
กระทรวงสาธารณสุข
|
ให้บริการด้านสุขภาพอนามัย และการรักษาพยาบาล
|
บริษัทขนส่ง จำกัด
|
จัดบริการด้านการขนส่งทางบกทั่วประเทศ
|
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
|
จัดบริการรถประจำทางในกรุงเทพมหานคร
|
องค์การคลังสินค้า
|
จัดบริการขายปลีกสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชน
|
องค์การค้าของคุรุสภา
|
จัดจำหน่ายอุปกรณ์การเรียนการสอน หนังสือ
เครื่องแบบนักเรียน
|
การเคหะแห่งชาติ
|
จัดในเรื่องที่อยู่อาศัยของประชาชน
|
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
|
จัดการในด้านผลิตภัณฑ์น้ำมันปิโตรเลียม
|
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
|
ให้บริการด้านข่าวสารการท่องเที่ยว
ส่งเสริมการท่องเที่ยว
|
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
|
ดำเนินการในเรื่องทางด่วนในกรุงเทพมหานคร
|
องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
|
ติดตั้งและบริการโทรศัพท์ในเมือง
ทางไกล
|
การประปานครหลวง
|
จัดหาน้ำประปาในกรุงเทพมหานคร
|
การประปาส่วนภูมิภาค
|
จัดหาน้ำประปานอกเขตกรุงเทพมหานคร
|
การไฟฟ้านครหลวง
|
จัดหาไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร
|
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
|
จัดหาไฟฟ้าในส่วนภูมิภาค
|
องค์การเภสัชกรรม
|
ผลิตและจำหน่ายยารักษาโรค
ยาสามัญประจำบ้าน
|
การรถไฟแห่งประเทศไทย
|
บริการขนส่งคนโดยสารและสินค้าทางรถไฟ
|
องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์
|
บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์หรือสิ่งของทั่วประเทศ
|
การสื่อสารแห่งประเทศไทย
|
บริการด้านไปรษณีย์ ไปรษณียภัณฑ์
|
ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
ให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
|
องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย
|
ให้บริการความรู้ความบันเทิงทางวิทยุและโทรทัศน์
|
องค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย
|
ให้บริการด้านกีฬา
และพลานามัยของประชาชน
|
องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย
|
ให้บริการด้านสวนสัตว์เพื่อการพักผ่อนและการศึกษา
|
อ้างอิงจาก : เอนก เธียรถาวร และคณะ. ๒๕๓๕. หนังสือเรียนสังคมศึกษา รายวิชา ส ๐๖๒ การเงิน การธนาคาร และการคลัง . กรุงเทพมหานคร : วัฒนาพานิช